สำนักสุสานโบราน

 

 

 

 

 

 

          สำนักสุสานโบราณ เป็นสถานที่ที่ เฮ้งเตงเอี้ยง เจ้าสำนัก ช้วนจินก่า สร้างขึ้นเพื่อฝึกวิชา ต่อมา ลิ้มเฉียวเอ็ง เอาชนะ เฮ้งเตงเอี้ยง แล้วเข้ามาครอบครองสุสานโบราณไว้ แล้วใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของตนแทน ต่อมาได้รับลูกศิษย์ไว้หลายคน รวมทั้ง เซียวเหล่งนึ่งและลี้มกโช้วด้วย

         สุสานโบราณ แท้จริงสุสานโบราณเป็นคลังใต้ดินกว้างขวางโอฬารหลังหนึ่ง ครั้งกระโน้นก่อนที่เฮ้งเต้งเอี้ยงจะลุกฮือขึ้นต่อต้านทหารไต้กิม ได้ระดมกำลังผู้คนหลายพันคน ใช้เวลาหลายปีค่อยปลูกสร้างแล้วเสร็จ ทั้งสะสมอาวุธเสบียงกรัง ใช้เป็นรากฐานสำหรับพื้นที่แถบซัวไซและเซียมไซ รูปลักษณะภายนอกเป็นสุสานโบราณไว้ตบตาทหารไต้กิม และเนื่องจากกริ่งเกรงกองทัพไต้กิมยกกำลังมาบุกจู่โจม ในสุสานยังติดตั้งกลไกกับดักอันแนบเนียนพิศดารใช้ต้านทานศัตรูภายนอก ในสุสานมีห้องหับจำนวนมาก เส้นทางเดินสลับซับซ้อน คนภายนอกบุกรุกเข้ามา ต่อให้จุดโคมไฟสว่างไสวอยู่ทุกที่ทางยังหลงทางได้โดยง่าย ยิ่งอย่าว่าแต่ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อยนิด 

 ห้องโลงศพศิลา

        ภายในสุสานโบราณมีห้องอยู่จำนวนมาก มีอยู่ห้องหนึ่ง ลักษณะเป็นห้องโถงโล่งกว้าง จัดเรียงรายด้วยโลงหินห้าใบ สองใบปิดอยู่บรรจุด้วยร่างของ ลิ้มเฉียวเอง และอีกใบเป็นสาวใช้ของนาง ซึ่งก็คืออาจารย์ของเซียวเหล่งนึ่ง โลงศพอีกสามใบยังเปิดคาไว้ เซียวเหล่งนึ่งได้วางร่างของยายซุนลงไปที่โลงใบที่สาม เหลืออีกสองใบ เตรียมไว้สำหรับ เซียวเหล่งนึ่งและลี้มกโช้ว  

ห้องของเซียวเหล่งนึ่ง

 ในห้องส่วนตัวของเซียวเหล่งนึ่งนั้น กิมย้งได้อธิบายไว้ตามนี้ 

         เอี้ยก้วยเห็นนางสวยซึ้งสะคราญ เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างก็ขาวสกาวราวหิมะไม่แปดเปื่อนผงธุลี คาดว่าห้องส่วนตัวของนางคงตกแต่งด้วยความเลิศหรูวิจิต มิคาดพอเหยียบย่างเข้าห้อง อดบังเกิดความผิดหวังมิได้ เห็นห้องของนางเวิ้งว่างเปล่า ไม่แตกต่างกับห้องศิลาที่จัดตั้งโลงหิน มีหินเขียวแท่งยาวแท่งหนึ่งใช้เป็นเตียง บนเตียงปูเสื่อผืนหนึ่ง มีผ้าขาวผืนหนึ่งใช้เป็นผ้าห่ม นอกจากนี้ไม่มีวัตถุอื่นอีก    

เตียงหยกเย็น

           ความเป็นมาของเตียงหยกเย็นนั้น ลิ้มเฉียวเอ็งใช้เวลาเจ็ดปีเดินทางถึงดินแดนภาคเหนือสุดเหน็บหนาว ขุดหาหยกเย็นจากใต้ชั้นน้ำแข็งลึกหลายร้อยวา เมื่อนอนอยู่บนเตียงหยกนี้ ฝึกปรือวิชากำลังภายในหนึ่งปีจะเทียบเท่าผู้คนทั่วไปฝึกถึงสิบปี 
           ตอนแรกเมื่อนอนอยู่เบื้องบนจะรู้สึกหนาวเย็นสุดทนทาน ได้แต่โคจรพลังฝีมือทั่วร่างคอยต้านทาน เวลาพอนานเข้า ก็กลายเป็นความเคยชิน แม้อยู่ในยามหลับ ยังโคจรพลังไม่ลดละ ผู้คนทั่วไปฝึกฝีมือ ต่อให้เป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรที่สุด ทุกวี่วันต้องนอนพักผ่อนเป็นเวลาหลายชั่วยาม ควรทราบว่าการฝึกปรือเป็นเรื่องราวฝืนฟ้า ระบบการโคจรเลือดลมล้วนแตกต่างจากเวลาปกติธรรมดา แต่ทุกคืนพอเข้านอน เลือดลมจะโคจรหมุนเวียนดุจเดิม ริดรอนพลังฝีมือที่ฝึกปรือเมื่อตอนกลางวันไปเก้าส่วน แต่หากนอนบนเตียงนี้ เวลานอนหลับมิเพียงไม่ลดทอนพลังฝีมือเมื่อตอนกลางวัน ตรงกันข้ามมีส่วนเพิ่มพูนพลังฝีมือกว่าเดิม 
           หากคิดจะใช้หิมะน้ำแข็งแทนหยกเย็น ก็มิอาจทำได้ เพราะหนึ่งนั้นหิมะน้ำแข็งพอเผชิญไออุ่นจากร่างคนจะละลายกลายเป็นน้ำ สอง หยกเย็นนี้ยังมีประสิทธิภาพเหนือล้ำกว่าหิมะน้ำแข็งหลายเท่า นอกจากนี้หยกเย็นยังมีคุณประโยชน์อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ฝึกปรือวิชากำลังภายใน จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นโดยปกติทั่วไป ขณะที่ฝึกลมปราณ ต้องแบ่งแยกสมาธิครึ่งหนึ่ง ต่อต้านกับอัคคีแห่งดวงจิต หยกเย็นนี้เป็นวัตถุสุดเย็นของแผ่นดิน ผู้ที่บำเพ็ญภาวนาเวลานั่งหรือนอนบนก้อนหยก ไฟในอกจะสงบลงเอง ดังนั้นขณะที่ฝึกลมปราณ สามารถมุมานะอย่างเต็มที่ จึงทำให้ฝึกลมปราณได้รวดเร็วกว่าผู้คนทั่วไปอีกเท่าตัว

  ห้องคำนับอาจารย์

           อีกห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่เอี้ยก้วยใช้คำนับเซียวเหล่งนึ่งเป็นอาจารย์ ภายในห้องว่างวเปล่าไม่ต่างจากห้องอื่นๆ เพียงแต่ผนังซ้ายขวาแขวนภาพวาดด้านละภาพ ผนังซ้ายมือเป็นหญิงสาวสองนาง นางหนึ่งมีอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปี กำลังหันหน้าหาคันฉาย หวีสางเรือนผม อีกนางเป็นหญิงรับใช้อายุราวสิบสี่สิบห้าปี มือถืออ่างล้างหน้า ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เงาในคันฉาย มีเค้าใบหน้าสะคราญ คิ้วเรียวยาว ที่หางตากลับเคลือบคลุมด้วยรังสีฆ่าฟันชั้นหนึ่ง หญิงสาวนางนี้คือลิ้มเฉียวเอ็ง ส่วนสาวใช้นั่นคืออาจารย์ของเซียวเหล่งนึ่ง ส่วนผนังอีกด้านเป็นภาพของเฮ้งเต้งเอี้ยง

ห้องฝึกวิชา ท่วงท่าแหฟ้าตาข่ายดิน

 

          ห้องศิลาเหล่านี้เอี้ยก้วยใช้ฝึกฝนวิชาโดยการไล่จับนกกระจอก โดยห้องแรกมีขนาดไม่ใหญ่นัก ห้องที่สองมีขนาดกว้างยาวกว่าห้องแรกเท่าตัว สถานที่ยิ่งใหญ่การจับนกกระจอกยิ่งยากลำบากขึ้น เอี้ยก้วยใช้ห้องนี้จับนกหกตัว จากนั้นห้องศิลายิ่มมายิ่งขยายใหญ่ จำนวนนกยิ่งมาก จนสุดท้ายเอี้ยก้วยสามารถจับนกทั้งแปดสิบเอ็ดตัวได้

 

ห้องฝึกวิชาของลิ้มเฉียวเอ็ง และเฮ้งเต้งเอี้ยง

 

         ห้องศิลาหลังนี้มีรูปทรงประหลาดพิศดาร ด้านหน้าคับแคบช่วงหลังกว้างขวาง ลักษณะเป็นรูปบันได ขวามือเป็นรูปครึ่งวงกลม ซ้ายมือกลับเป็นรูปสามเหลี่ยม เป็นสถานที่ฝึกปรือของเฮ้งเต้งเอี้ยง ด้านหน้าแคบใช้ฝึกปรือเพลงฝ่ามือ ส่วนหลังกว้างฝึกซ้อมเพลงหมัด ขวามือทรงกลมฝึกเพลงกระบี่ ซ้ายมือรูปเหลี่ยมมุมใช้ซัดลูกดอก บนเพดานห้อง สลักไว้ด้วยเครื่องหมายนานับประการ ภายในห้องศิลานี้ ยังมีประตูนำสู่ห้องศิลาอีกชั้นหนึ่ง มีรูปทรงตรงข้ามกับห้องแรก บนเพดารก็มีสลักเครื่องหมายจำนวนมากไว้เช่นกัน ห้องนี้ เป็นที่ลิ้มเฉียวเองฝึกฝนคิดค้นเคร็ดวิชาสุรางคนางค์เพื่อไว้สะกดข่มวิชาของเฮ้งเต้งเอี้ยงโดยเฉพาะ

ศิลาตัดมังกร

 

         เฮ้งเต้งเอี้ยงได้สร้างสุสานนี้ขึ้นเพื่อไว้เป็นคลังแสงและคลังเสบียงเพื่อต่อสู้กับกองทัพไต้กิม ดังนั้นได้ติดตั้งกลไกกับดักอย่างละเอียดถีถ้วน ที่ประตูทางเข้าสุสาน ได้ติดตั้งศิลาขนาดใหญ่หนักหมื่นชั่งอยู่สองก้อน เรียกว่า ศิลาตัดมังกร (ต่วนเล้งเจี๊ยะ) เฮ้งเต้งเอี้ยงได้รวบรวมผู้คนร้อยกว่าคนค่อยติดตั้งสำเร็จ ศิลานี้มีไว้ใช้ในยามที่หากมีศัตรูบุกเข้ามาเป็นจำนวนมาก เมื่อคนน้อยไม่อาจสู้พวกมากได้ เขาจะทิ้งหินใหญ่ลงมาปิดสุสานไว้ ศัตรูที่บุกเข้าสุสานก็ไม่อาจที่จะออกไปได้อีก ดังนั้นศิลานี้เมื่อปิดแล้วจะไม่มีทางเปิดออกได้ ต่อให้ผู้ที่ติดอยู่ข้างในมีจำนวนนับพัน แต่ทางเข้าสุสานนั้นคับแคบยิง เพียงอนุญาตคนผู้หนึ่งเดินผ่านเท่านั้น ดังนั้นถึงมีกำลังพวกมากแค่ไหน แต่เมื่อจะเดินออกจากสุสานต้องเดินเป็นแถวเดียว คนที่จะคลำถูกศิลาตัดมังกรก็เป็นเพียงคนที่เดินนำหน้า บุคคลผู้หนึ่งต่อให้มีเรี่ยวแรงมากเท่าใด ก็ไม่อาจจะยกศิลานับหมื่นชั่งนี้ขึ้นได้ เฮ้งเต้งเอี้ยงเตรียมมาตรการเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าขอตายไม่ยอมสยบ

 

ทางออกจากสุสานโบราณ

 

           ในสุสานโบารณนอกจากทางออกทางประตูแล้วยังมีทางออกอีกทางที่เฮ้งเต้งเอี้ยงได้ทำไว้ ความจริงตั้งใจทำไว้ป้องกัน หากสุสานถูกพวกไต้กิมปิดล้อมไว้เป็นเวลานาน จะอาศัยทางลับเอาตัวรอดออกไปได้ ภายหลังเฮ้งเต้งเอี้ยงยกสุสานโบราณให้ลิ้มเฉียวเอ็ง ได้บอกถึงถึงกลไกในสุสานทั้งหมดรวมทั้งศิลาตัดมังกร แต่ไม่ได้บอกเรื่องทางลับนี้ เพราะกริ่งเกรงนางจะหัวเราะเยอะ หาว่าเขาเตรียมหนทางถอยหนีเอาตัวรอด สูญเสียธาตุแท้ของลูกผู้ชายชาตรี จึงไม่ได้กล่าวบอกให้ทราบ

 

วิทยายุทธทั่วไปของสำนัก

 

คัมภีร์ดรุณีหยก วิชาสุรางคนางค์ ประเภท : กำลังภายใน
 
  การฝึกเคล็ดกำลังภายในของเคล็ดวิชานั้น ต้องฝึกสองคน เกื้อหนุนกัน วิชากำลังภายในนี้มีอุปสรรคทุกฝีก้าว อาจโคจรพลังผิดแนวทางได้ทุกเมื่อ หากปราศจากผู้อื่นคอยช่วยเหลือ ต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรกแน่นอน ต้องผนึกกำลังกันสองคนค่อยผ่านด่านอันตรายได้ เมื่อครั้งนั้นลิ้มเฉียวเอ็งฝึกร้วมกับสาวใช้ หลังจากสำเร็จได้ไม่นานก็ลาโลกไป ส่วนสาวใช้ ซึ่งเป็นอาจารณ์ของเซียวเหล่งนึ่งนั้นยังฝึกไม่สำเร็จ 

           นอกจากต้องฝึกพร้อมกันสองคนแล้ว ขณะที่ฝึกลมปราณ ตลอดทั้งร้ายปรากฎไอร้อนระเหยออก ต้องเลือกพื้นที่วงกว้างไร้ผู้คน สยายเสื้อผ้าทั้งร้างออกฝึกปรือเพื่อขับเคลื่อนความร้อนออกไป โดยไม่เกิดการสะดุดติดขัด ไม่เช่นนั้นจะย้อนกลับมาสะสมอยู่ภายในกาย หากเป็นสถานเบาต้องป่วยหนัก สถานหนักต้องเสียชีวิต 
           เคล็ดวิชาสุรางคนางค์แบ่งลำดับขั้นตอนในการฝึกปรือเป็นเก้าขั้น หากฝึกในแนวเดียวเรียกว่าอิมจิ่ง (เย็นรุกหน้า) ฝึกปรือสองแนวเรียกว่าเอี้ยงถ่อ (ร้อนถดถอย) เมื่อฝึกในแนวทางร้อนถดถอย สามารถยุดยั้งยุติได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าฝึกในแนวทางเย็นรุกหน้า ต้องดำเนินติดต่อตามกัน ไม่อาจมีอุปสรรคขัดข้องแต่กลางคัน
 
 
กระบี่ดรุณีใจสงบ ประเภท : กระบี่ประสาน
 
บทสุดท้ายของเคล็ดวิชาสุรางคนางค์นั้นต่างออกไปจากบทอื่นๆครั้งกระโน้นปรมจารย์ลิ้มเฉียวเอ็ง อาศัยอยู่ในสุสานโบราณเพียงลำพัง จัดทำคัมภีร์สุรางคนางค์ขึ้น มาตรแม้นเพื่อสะกดข่มวิชาฝีมือของสำนักชวนจินก่า แต่ในใจยังรักผูกพันต่อเฮ้งเต้งเอี้ยงไม่คลาย เมื่อมีรักเต็มอก เปรี่ยมความครุ่นคิดคะนึงหา ล้วนถ่ายทอดไว้ในคัมภีร์บทสุดท้ายนี้ โดยสร้างมโนภาพว่าสักวันหนึ่งสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับชายคนรัก กระบี่คู่ที่กรีดกรายเป็นภาพ แท้จริงเพื่อการผนึกกำลังสยบสัตรูจึงเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญ ดังนั้นวิชาการต่อสู้ในบทสุดท้าย คนหนึ่งใช้ฝีมือในคัมภีร์สุรางคนางค์ คนหนึ่งใช้วิชาสำนักช้วนจิน ประสานเสริมซึ่งกันและกันแยกย้ายรุกจู่โจม แต่ในจารึกบนผนังศิลาไม่สะดวกกับการบ่งบอกความในใจข้อนี้ 

           ครั้งกระนู้ลิ้มเฉียวเอ็งบัญญัติเพลงกระบี่ชุดนี้เพราะใฝ่ฝันว่าจะได้เคียงข้างกับเฮ้งเต้งเอี้ยงต่อต้านศัตรู ทุกกระบวนท่าล้วนผสานเสริมเกื้อกูลกัน ซึ่งความจริง ลิ้มเฉียวเอ็ง กับเฮ้งเต้งเอี้ยงล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง เพียงลำพังคนเดียวก็ไม่มีใครต้านติด วิชาผนึกกำลังต้านศัตรูนี้ แท้จริงไม่มีประโยชน์อันใดเพียงเป็นความฝันใฝ่ของลิ้มเฉียวเอ็ง เพื่อปลอบประโลมใจเท่านั้น 

 
คัมภีร์เก้าอิม   ถูกเขียนอยู่ในสุสาน

พลังภายในสุสานโบราณ

วิชาแหฟ้าตาข่ายดิน

ฝ่ามือดรุณีโปรยบุปผา

หมัดโฉมสะคราญ

 

วิชากระบี่ดรุณีหยก

ท่าเท้าลมย้อนแฉลบหลิว

วิชากระบี่ช้วงจิง    เอาไว้ใช้ประสานกระบี่

เข็มผึ้งหยก      อาวุทลับ

วิชาโซ่เงินกระดิ่งทอง       วิชาผ้าของเซียวเหล่งนึง

ฝ่ามือแหฟ้าตาข่ายดิน

วิชากระบี่โฉมสะคราญ

สองมือขัดแย้ง     ประสานกระบี่ ไม่ต้อง มีสองคน

วิชาของลี้มกโช้ว

คัมภีร์เบญจพิษ    ลี้มกโช้วคิดขึ้นเอง

พลังแส้ปัด

เข็มเงินวิญญาณน้ำแข็ง

หัตถ์เทพแส้แดง

มือสามไร้สามไม่

วิชาของเอี้ยก้วย

 

เก้ากระบี่เดียวดาย   อินทรีเป็นคนสอน

วิชากระบี่เหล็กนิล  

วิชากระบี่ไม้

 

ฝ่ามือวิญญาณสลาย เอี้ยก้วยเป็นคนเขียนขึ้นมา
 
คนของสำนักสุสานโบราณ
ลิ้มเฉียวเอ็ง กับสาวใช้ ต่อมาเป็น เจ้าสำนักคนที่ สอง 
 
 
 
เซียวเล่งนึง ธิดามังกร
 
 
 
 ลี้ หมก โช้ ว
 
เทพธิดาไหมแดง
 
 
อั้งเล้งปอ
 
 
 
เล็กบ่อซัง
 
 
 
เอี้ยก้วย
 
 
 
 
แม่นาง ชุด เหลือง ลูก หลาย เอี้ยก้วย
 
 
ที่มา:
 
Credit: http://board.postjung.com/792270.html
29 ก.ค. 57 เวลา 10:34 5,999 4 80
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...