นินจาคือใคร ?
ย้อนกลับไปสู่สมัยเฮฮันที่ประเทศญี่ปุ่นยังปกครองด้วยระบบศักดินา โชกุนคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดกว่าสิ่งใดทั้งปวง อำนาจทั้งหมดถูกดึงเข้าสู่รัฐบาลและกระจายอำนาจไปสู่เหล่าเจ้าผู้ครองแคว้นหรือ “ไดเมียว”
ผู้มีอำนาจอยู่ในมือทั้งหลายต่างมีเหล่านักรบคู่กายที่สวมชุดเกราะพร้อมรบ มาหร้อมศักร์ศรีแห่งนักรบบูชิโดที่ใครจะมาหยามเกียรติมิได้ที่เรารู้จักกันดีในนาม “ซามูไร” พวกเขาเปรียบเสมือนทัพหน้าที่คอยปกปักษ์รักษาหัวเรือใหญ่ให้อยู่รอดปลอดภัยจากผู้ไม่หวังดี แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อการกุมชัยชนะเหนือศัตรู โชกุนที่รวมถึงไดเมียวของแคว้นต่างๆ จึงต้องการเฟ้นหากลุ่มคนอีกกลุ่มที่เปรียบเสมือนอาวุธลับที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าซามูไร กลุ่มคนที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีดำ ลึกลับ ว่องไว นักฆ่าระยะประชิดที่พวกเราต่างรู้จักกันดี พวกเขาเรียกตัวเองว่า “นินจา”
นินจา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ชิโนบิ หมายถึงบุคคลที่อาศัยอยู่ในภูเขาและฝึกฝน “นินจิตสึ” ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยวิถีทางแห่งการขโมยและการล่องหนโดยเฉพาะ ซึ่งคำว่า “นิน” นั้นหมายความว่า คงทน และภายหลังมีความหมายเพิ่มเติมว่า การซ่อนตัวและการขโมย “จา” นั้นหมายถึง บุคคล ซึ่งก็คือตัวตนในแบบเฉพาะของนินจาที่ทั่วโลกต่างรู้จัก
...สำนักนินจา...
“อิงะ” และ “โคงะ” คือสองสำนักนินจาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงที่สุดในสมัยนั้น และต่อสู้กันอย่างเข้มข้น อีกทั้งยังมีการศึกษาเล่าเรียนของนินจาฝึกหัดทั้งหลายเพื่อที่จะก้าวขึ้นไปสู่การเป็นจารชนฝีมือเยี่ยมในลำดับถัดไปนั่นเอง
...นินจา VS ซามูไร...
หลายคนอาจสับสนถึงความเหมือนและความต่างระหว่างนินจาและซามูไร ผมขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ นินจากับซามูไรนั้นก็คือทหารของโชกุนเฉกเช่นเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนที่ซามูไรนั้นเปรียบเหมือนทัพหน้าที่คอยออกสู้รบปรบมือกับศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง แต่กัยนินจาแล้ว พวกเขาคือหน่วยที่มีหน้าที่เสาะหาข้อมูลลับของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง พวกเขาจะทำงานอย่างลับๆไม่เปิดเผย ชอบทำงานทำงานกับความมืดเป็นอย่างยิ่ง และแยกส่วนการทำงานออกจากซามูไรอย่างชัดเจน
...ยุคทองของนินจา...
คงต้องกล่าวถึงในช่วงยุคเซนโงะกุ ที่ญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟันกันเองรัญบาลโชกุนได้มีการรวบรวมอำนาจเข้าสู่ศุนย์กลาง โดยมีไดเมียวหรือเจ้าผู้ครองแคว้นคอยดูแลและปกครองตามแคว้นต่างๆ แต่กระนั้นความไม่พอใจของเหล่าได้เมียวท้องถิ่นก็ยังมีอยู่ประปราย ซึ่งยากต่อการที่รัฐบาลโชกุนจะเข้าถึงว่าพวกนั้นคิดก่อการกบฏหรือไม่ เหล่านินจาจึงได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญจากโชกุนในการสืบราชการลับซึ่งซามูไรไม่สามารถทำได้ ในขณะเดียวกันเหล่าไดเมียวหรือเจ้าผู้ครองแคว้นต่างก็มีนินจาอยู่ในสังกัดของตนเพื่อคอยรับมือกับนินจาของฝั่งโชกุนเช่นกัน
นินจาจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราความต้องการสูงมากในสมัยนั้น เหมือนกับว่าเป็นสงครามจิตวิทยาของฝั่งโชกุนและเจ้าผู้ครองแคว้นที่คิดไม่ซื่อ ว่ากันว่าในสมัยนั้นต้องใช้เงินว่าจ้างแพงถี่ยิบ แต่เพื่ออำนาจที่ยิ่งใหญ่และการปราบเหล่าศัตรู การมีนินจาอยู่ในการปกครองนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีและนับเป็นการชิงความได้เปรียบกับคู่ต่อสู้อย่างแยบยล
และแล้วศึกแย่งชิงอำนาจครั้งสำคัญก็เกิดขึ้นเมื่อไดเมียวจาก 3 แคว้นขอประลองศึกเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่นในขณะนั้น “นินจา” กลายเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญสำหรับศึกสงครามภายในครั้งนี้ และท้ายที่สุดเมื่อสมรภูมิที่เซกิงาฮาระได้จบลง โทะกูงาวะ อิเอยาสึ ก็เถลิงขึ้นครองอำนาจเป็นโชกุนซึ่งชัยชนะในครั้งนี้ ก็มีการมอบเครดิตให้กับ “ฮัตโตริ ฮันโซ” หนึ่งในตำนานนินจาผู้โด่งดังว่าเป็นส่วนหนึ่งในชัยชนะของโชกุนคนใหม่อีกด้วย
...วิชานินจา...
ทักษะของนินจานั้นได้แต่ใดมา “นินจิตสึ” ที่เป็นเสมือนคัมภีร์ของนินจา จุดสำคัญอยู่ที่ทักษะการจารกรรม และการเอาตัวรอดเป็นหลักการฝึกฝนของนินจาก็คล้ายคลึงกับนักรบซามูไรโดยเป็นเหมือนมรดกตกทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งคล้ายกับซามูไร และยิ่งหากฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อยก็จะได้ผลดี
การฝึกฝนทางร่างกาย : นินจาจำเป็นต้องเรียนรู้การเอาตัวรอด เทคนิคการสอดแนม การลอบวางเพลิง รวมไปถึงการวิ่ง ปีนกำแพง การอยู่ใต้น้ำ การอำพรางตัว และยังต้องมีความรู้ทางการแพทย์สำหรับปรุงยาและยาพิษเพื่อลอบฆ่าศัตรูโดยเฉพาะอีกด้วย
การฝึกฝนทางจิตใจ : มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการฝึกทางร่างกาย การฝึกจิตให้มั่นคงนั้นสามารถทำให้งานของนินจาสำเร็จได้โดยง่าย เคล็ดลับก็คือการนำเอาจิตผนึกเข้ากับสิ่งๆ นั้น ส่งผลถึงการรับรู้ที่เฉียบไวและแม่นยำ และยังสามารถพัฒนาวิชาของตนเองโดยอาจจะมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามสไตล์ของแต่ละคนก็ทำได้ ซึ่งความสามารถเหล่านั้นก็พัฒนามาจากพื้นฐานของจิต ซึ่งต้องหมั่นฝึกฝนอย่างพากเพียร
วิชาที่นินจาต้องศึกษาอีกอย่างหนึ่งก็คือการปลอมตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเหล่านินจา โดยพวกเขาจะปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นจุดสนใจและสามารถทำภารกิจได้อย่างไม่ติดขัด
...พลังฝ่ามืออันเร้นลับ...
หัวใจของการฝึกนินจิตสึของนินจาก็คือการฝึกจิตให้มั่น รวมไปถึงแก่นแท้ของสรรพสิ่งรอบกาย เพื่อที่จะรับรู้ถึงแหล่งที่มาของพลัง และนำพลังเหล่านั้นมาใช้ได้ และ การประสานมือในรูปแบบต่างๆ ที่เรียกว่า “คุจิอิง” นั้นก็เป็นการก่อเกิดพลังโดยมีธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเกี่ยวข้อง นินจาเชื่อว่าเมื่อพวกเขาประสานมือและอยู่ในสมาธิอันแน่วแน่ ก็จะสามารถควบคุมสภาวะรอบข้าง การเลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความกดดันต่างๆ มาเป็นความสงบนิ่งได้ หากจะพูดเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆ มันก็คือการนั่งสมาธิอย่างหนึ่งนั่นแหละ
...คาถาอาคมของนินจามีจริงหรือ?... นอกจากอาวุธแล้ว หลายคนคงติดภาพว่านินจาสามารถหายตัวได้ในพริบตา มีคาถาอาคมเวทมนต์อยู่มากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นนินจาก็เป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไปเหมือนเราๆ นี่แหละครับ แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้นั้นเกิดจากการฝึกฝนล้วนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความพิเศษใดๆทิ้งสิ้น เช่น การล่องหนหายตัวก็มิได้พึ่งคาถาดั่งแฮร์รี่พอตเตอร์ที่มีผ้าคลุมล่องหน แต่นินจาก็ใช้วิธีส่วนตัวในการตบตาคนอื่นให้ดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถหายตัวได้ก็เท่านั้น
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกคาถาเรียกกบเรียกงูทั้งหลายก็เป็นเพียงเรื่องแต่งเติมเข้าไปในนินจาสมัยใหม่ที่เน้นเรื่องราวของการโชว์และความบันเทิงให้ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เท่านั้นเอง
...คราวอวสานของนินจา...
และแล้วภารกิจแห่งสุดยอดสายลับนักฆาก็ได้สิ้นสุดลงในสมัยเอโดะ (ราวต้นศตวรรษที่ 17) ที่สงครามภายในประเทศนั้นได้จบลง โชกุนอิเอยาสึสามารถรวบรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นและแข็งแกร่งดั่งภูผา สายลับชุดดำอย่างนินจาจึงหมดหน้าที่ตั้งแต่บัดนั้น เหลือเพียงบุคคลธรรมดาที่เลิกโพกผ้าดำและหันไปประกอบอาชีพอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาวนานักผลิตดอกไม้ไฟ แพทย์ เภสัชกร ฯลฯ วิชาติดตัวของนินขากลายสภาพไปเป็นการให้ความบันเทิงในรูปแบบต่างๆและ “นินจา” ก็กลายเป็นตำนานสายลับคู่กับญี่ปุ่น นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา