พาดหัวข่าวอาจจะดูแรงเกินไปหน่อยสำหรับการแสดงหนังที่โจลี่ว่าจะเป็น "เรื่องสุดท้าย" ของตัวเอง หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ แองเจลิน่า โจลี่ อย่าง มาเลฟิเซนต์ สามารถเปิดตัวทำรายได้ในสัปดาห์แรกของการเข้าฉายที่อเมริกาเป็นอันดับที่ 1 (ปัจจุบันลงมาอยู่ในอันดับที่ 2 แล้วเรียบร้อย) หลังจากการที่เธอเปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อว่าภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่เธอจะรับบทบาทเป็นนางเอกนั้นก็คือพระราชินีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกอย่าง พระนางคลีโอพัตรา ในหนังชื่อ Cleopatra โดยหนังเรื่องนี้จะเป็นผลงาน "การแสดง" เรื่องสุดท้ายของเธอ
แต่การแสดงเรื่องสุดท้าย ไม่ได้หมายความว่าแองเจลิน่า โจลี่จะบอกลาวงการบันเทิงไปเลย อันที่จริงเธอแค่จะ "เปลี่ยนหน้าที่" จากการทำงานหน้ากล้องไปทำงานอยู่เบื้องหลังในการกำกับภาพยนตร์แทนต่างหาก รวมไปถึงอุทิศเวลาให้กับงานการกุศลและช่วยเหลือเพื่อนมนุษยชาติ
โจลี่กล่าวถึงหนัง Cleopatra ว่าตอนนี้ทุกอย่างกำลังอยู่ในขั้นเตรียมการ เพราะทางสตูดิโอผู้สร้างยังถกเถียงและเฟ้นหาตัวผู้กำกับที่เหมาะสม เป็นการถกเถียงครั้งใหญ่ซึ่งในรายชื่อผู้กำกับนั้นก็อาทิ เจมส์ คาเมรอน,อังลี่ และเดวิด ฟินเชอร์แต่อย่างไรก็ตามบทภาพยนตร์นั้นจะเขียนขึ้นโดยอีริค รอธ เพื่อนสนิทคนเก่งของโจลี่ ผู้เคยชนะรางวัลออสการ์จากการเขียนบท Forrest Gump และยังเคยเข้าชิงรางวัลออสการ์อีก 3 ครั้งจากหนังดังต่อไปนี้ The Curious Case of Benjamin Button (2008), Munich (2005), The Insider (1999)
โจลี่ ยังเล่าว่า "บทบาทของพระนางคลีโอพัตรานั้นมีความซับซ้อนในตัวเองมากค่ะ ฉันคิดว่าตัวเองต้องเตรียมพร้อมครั้งใหญ่ในการรับบทบาทนี้ มันจะเป็นบทบาทครั้งยิ่งใหญ่มาราวกับว่าเราต้องคิดว่านี่คือจุดที่สูงที่สุดแล้วของการแสดงและฉันต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นจุดที่เราควรจะยุติบทบาทการแสดงเอาไว้ตรงนี้ ตรงจุดที่ดีที่สุดของชีวิต"
โดยภายหลังจากการรับบทบาทคลีโอพัตราแล้วเธออยากจะโฟกัสตัวเองในการเป็นผู้กำกับเต็มตัวและทำงานให้กับUNHCR หรือ United Nations High Commissioner for Refugees หน่วยงานทางด้านมนุษยชน
อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีนี้โจลี่จะมีหนังที่เธอกำกับเองอย่าง Unbroken เข้าฉายในช่วงเดือนธันวาคม เป็นหนังแนวสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่าเรื่องของทหารอากาศที่เครื่องบินรบของพวกเขาถูกยิงตกลงไปกลางมหาสมุทรแปซิฟิก กลางดงปลาฉลามเป็นเวลา 47 วัน และนับเดือนที่พวกเขาลอยแพอยู่บนทะเล ภายหลังจากนั้นพวกเขาก็โดนทหารชาวญี่ปุ่นจับไปเป็นเชลยศึกในค่ายกักกันกว่า 2 ปี ราวกับปาฏิหาริย์ชายคนนี้สามารถรอดชีวิตออกมาได้และนำเรื่องราวอันน่าระทึกนี้มาเล่าต่อยังลูกหลานสืบต่อไป