ปัจจุบันมีชีสมากกว่า 3,000 ชนิดบนโลกนี้ให้เราได้เลือกรับประทาน แต่สำหรับคนไทยอาจจะรู้จักชีสเพียงไม่กี่ชนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่หลงไหลความหอมมันของชีส ที่ต่อให้ต้องอ้วนแค่ไหนก็ยอม
สำหรับวันนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับ ชีส 11 ชนิดที่มีความโดดเด่น และแปลกประหลาดกว่าชนิดใดๆ บนโลก ส่วนจะน่ากิน(หรือไม่น่ากิน)ขนาดไหน ต้องลองไปชมกันก่อนเลยครับ
1. Casu Marzu (Italy)
Casu Marzu แปลว่า ‘ชีสเน่า’ เป็นชีสพื้นเมืองของชาว Sardinia ทำมาจากนมแกะ หลังจากทำเสร็จแล้วก็จะนำไปทิ้งไว้จนเน่าเพื่อดึงดูดให้แมลงวันมาวางไข่ ปล่อยให้หนอนชอนไชเพื่อช่วยเร่งกระบวนการหมักให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ชีสมีความอ่อนนุ่มมากเป็นพิเศษ
Casu Marzu ยังขึ้นชื่อว่าเป็น ชีสที่อันตรายที่สุดในโลก อีกด้วย เพราะถ้ารอให้หนอนข้างในตายก่อน ชีสก้อนนั้นจะเป็นพิษทันที คือต้องรีบกินขณะที่หนอนยังคงคลานยั้วเยี้ยอยู่นั่นเอง
2. Milbenkase (Germany)
ที่นีมีชีสที่จะเลี้ยงตัว Mites ไว้ภายใน ซึ่งเอ็นไซม์ในน้ำย่อยของแมลงพวกนี้จะช่วยให้ชีสอ่อนนุ่มขึ้น ซึ่งในระหว่างนั้นก็จะนำเอาข้าวไรย์มาวางข้างๆ ชีสเพื่อเป็นอาหารเสริมให้กับพวกแมลงอีกด้วย
ชีสค่อยๆ เปลี่ยนสี จากสีเหลืองเป็นน้ำตาลแดง จนกระทั่งเป็นสีดำก็แปลว่าพร้อมรับประทานแล้ว รสชาติจะออกขมๆ แต่มีความพิเศษตรงที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับคนที่เป็นภูมิแพ้ฝุ่นนั่นเอง
3. Yak cheese (Tibetan communities)
ชีสที่มีความแข็งแบบสุดยอด ราวกันว่าเคี้ยวยางไม้ยังไงยังงั้น ชีสชนิดนี้ทำจากน้ำนมของตัวจามรี ที่รีดส่วนประกอบที่เป็นน้ำออกจนหมด แล้วนำมาตัดเป็นแท่งนำไปอบด้วยไฟอีกรอบ เป็นชีสที่เก็บได้นานและพกพาสะดวก เป็นที่นิยมมากในแถบทิเบต อินเดีย เนปาล
4. Airag cheese (Central Asia)
พบได้มากในประเทศแถบเอเชียกลางที่นิยมเลี้ยงม้า โดยจะรีดนมในช่วงที่ม้าจะตกลูก ก่อนจะนำไปหมักทิ้งไว้ เติมนมต้มลงไปเพื่อเพิ่มความเข้มข้น ก่อนนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง ชีสชนิดนี้นิยมรับประทานทั้งแบบแห้งเป็นของว่างระหว่างวัน หรือจะนำไปใส่ซุปให้นุ่มลงก็ได้
5. Camel’s milk cheese (Ethiopia, Mauritania, Sudan and Bedouin communities)
ชีสที่ทำจากนมอูฐ ชีสแบบนี้จะมีกลิ่นฉุนรุนแรง โดยนำอูฐมีปริมาณไขมัน และโปรตีนสูงกว่านมวัวมาก จึงมีกรรมวิธีการทำต่างจากทั่วไป คือต้องหมักนมในภาชนะที่ทำจากกระเพาะสัตว์นั่นเอง
6. Human milk cheese (New York)
ชีสจากนมมนุษย์ โดยเชฟอเมริกันนามว่า Daniel Angerer ได้ทดลองทำชีสจากน้ำนมของภรรยาตัวเอง ซึ่งเขาแน่ใจว่าชีสที่ได้จากนมคนนั้นให้คุณค่าทางอาหารมากกว่าชีสจากนมวัวอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นชีสชนิดนี้ก็ยังไม่มีการผลิตจริงจังเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด เพราะขั้นตอนการผลิตยังไม่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับนั่นเอง
7. American cheese
รู้ไหมว่าชีสหลายยี่ห้อในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่ชีสแท้ๆ แต่เป็นการนำเอานม เวย์โปรตีน ไขมันนม เกลือ เจลาติน นมผง สารปรุงแต่งกลิ่น และน้ำมัน มาผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมให้มีความข้น กลิ่น สี ออกมาเหมือนชีสนั่นเอง ชีสประเภทนี้พบได้ทั่วไปในร้านฟาสต์ฟู้ดต่างๆ
8. Lichen cheese (Canada)
ชีสที่เกิดจากการหมักนมแพะกับ Lichen ซึ่งเป็นเห็ดราชนิดหนึ่ง มีกลิ่นคล้ายกับบลูชีส ต้นกำเนิดมาจากที่ชาวเผ่าเอสกิโมที่อาศัยอยู่แถบแคนาดา ได้บังเอิญเจอเห็ดนี้อยู่ในกระเพาะอาหารของกวางแคริบูที่ล่ามาได้ พอลองชิมดูก็พบว่ามีความอร่อยเหมือนชีสนั่นเอง
9. Deer milk cheese (New Zealand)
ชีสจากนมกวางแดง กำลังเป็นที่นิยมมากในนิวซีแลนด์ หลังจากเริ่มมีการผลิต และวางจำหน่ายเพียงหนึ่งปี แม้เราจะไม่รู้ว่ามันมีรสชาติเป็นอย่างไร แต่ถ้าดูจากราคาน้ำนมกวางที่สูงถึง $100 ต่อลิตร คาดว่าคงไม่ใช่ชีสธรรมดาๆ เป็นแน่แท้
10. Alpaca and llama cheese (Andean communities)
ชีสที่ทำจากน้ำนมตัวลามะและอัลปาก้า มีอายุการเก็บรักษาได้นาน รสชาติออกเค็มและเข้มข้นมาก เป็นชีสที่หาซื้อได้ยาก เพราะการรีดนมจากสัตว์ประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีเรื่องเล่าว่าคนรีดนมอัลปาก้ามักจะโดนตะโกนเสียงดังใส่ และถุยน้ำลายรดด้วย
11. Donkey cheese (Serbia)
ชีสจากนมลานั้นอุดมวิตามินซีมากกว่าชีสนมวัวถึง 60 เท่า แต่ลาหนึ่งตัวจะให้น้ำนมได้เพียงวันละ 200 มิลลิลิตรเท่านั้น ในขณะที่ต้องใช้น้ำนม 25 ลิตรจึงจะได้ชีส 1 กิโลกรัม โดยนมลานั้นมีมูลค่าสูงถึง €1,000 ต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 44,500 บาท ส่วนราคาชีสก็ไม่ต้องสืบเลยครับ แพงอย่างแน่นอน
ข้อมูลจาก: truelife