ชีเปลือย โยคี ตัวจริงจากอินเดีย

 

 

ชีเปลือย
สำหรับศาสนาฮินดู มีพวกที่ปฏิบัติตน..ไม่นุ่งห่มอะไร..และถือครองเพศพรหมจรรย์อยู่..เรียกว่าพวกนาคะบาบา หรือสมณขี้เถ้า เพราะกิจวัตรประจำวันจะเริ่มด้วยการอาบน้ำที่แม่น้ำคงคาแล้วนำขี้เถ้ามาทาตัวแทนเครื่องนุ่งห่ม..ทำให้ตัวขาววอก..สาเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการเรียกนักบวชเหล่านี้ว่า ชีเปลือย เพราะชีแปลว่าขาว..
 
สาเหตุที่ทาตัวด้วยขี้เถ้าเพราะเขาถือว่าขี้เถ้าเป็นของบริสุทธิ์ สุดท้ายที่หลงเหลือหลังจากมนุษย์ถูกเผา...นักบวชเหล่านี้ถือว่า การได้ทาขี้เถ้าแล้วก็แสดงถึงสื่อแห่งความบริสุทธิ์ และพวกนี้จะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมักเที่ยวเดินทางรอนแรมเพื่อไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่สำคัญพวกนี้จะไม่มีเพศสัมพันธ์ตลอดชีวิต
 
 
 
เริ่มทาตัวด้วยขี้เถ้า
 
 
 
สมณขี้เถ้า
 
 
 
ละความอายได้..คือการไม่ยึดติดอะไร ๆ คือทางสู่โมกษะอย่างแท้จริง 
เป็นความหลุดพ้นที่เรียกว่า นิรวาณ คือปราศจากเครื่องรัดรึงทั้งปวง ความเป็นอิสระทางวิญญาณ 
พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อเข้าสู่ความสุขอันนิรันดร
 
 
 
ละความอายได้..คือการไม่ยึดติดอะไร ๆ
 
 
 
 
โยคะของโยคี
โยคะถือกำเนิดในประเทศอินเดียเมื่อหลายพันปีที่แล้ว โดยในสมัยโบราณนั้นมนุษย์ได้ค้นคว้าเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเข้าใจในความเป็นอยู่ของตนเอง ในอดีตไม่มีการจารึกถ้อยคำด้วยตัวอักษรความรู้ที่สำคัญๆทั้งหมดถูกส่งผ่านคนรุ่น หนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบของนิทาน ด้วยวิธีการเช่นนี้ ความรู้ต่างๆจึงได้สะสมขึ้นและวัฒนธรรมต่างๆได้พัฒนาขึ้นมา การฝึกโยคะได้ถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันในหุบเขาแห่งลุ่มแม่น้ำสินธุ นักปราชญ์ชาวฮินดูคนหนึ่งชื่อว่า ปตัญชลี เป็นคนแรกที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน เขาเขียนสูตรของการฝึกโยคะเป็นหัวข้อ 8 หัวข้อสั้นๆ หัวข้อเหล่านี้เชื่อว่าได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยผู้ที่ปฏิบัติโยคะที่เป็นผู้ชายเรียกว่า โยคี ส่วนผู้หญิงเรียกว่า โยคิณี ส่วนผู้สอนเรียกว่า กูรู การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและ สารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่ม การฝึกโยคะจะทำให้การทำงานของต่อมต่างๆรวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น เพราะโยคะสอนวิธีการฝึกลมหายใจ ที่เรียกว่าฝึกปราณคือควบคุมให้ลมหายใจลึก ยาวกว่าที่เป็น ซึ่งลมหายใจจะช่วยควบคุมและตามทันอารมณ์ของตนได้ ท่าของการฝึกโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามแบบของโยคะ และมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกายและจิตร่วมกัน การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อสุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น 
 
เหล่านาคะบาบาเชื่อกันว่าการฝึกโยคะจะช่วยให้จิตกับกายหลอมเป็นหนึ่งเดียวเข้าไปสู่ะอาตมันซึ่งเป็นสิ่งจริงแท้ (สัต) ความรู้ (จิต) และความสุข (อานันทะ) อาตมันจึงไม่รู้จักทุกข์ หรือตายและไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
 
 
 
ต้นกำเนิดโยคะยุคใหม่ในปัจจุบัน
 
 
 
 
 
 
กัญชากับบาบา
พวกเหล่านาคะบาบาเชื่อว่าพระศิวะทรงสูบกัญชา ท่านทรงร่าเริงเบิกบานดูแลทั้งสามโลกได้ตลอดเวลาก็เพราะกัญชา ดังนั้นการที่จะได้เข้าใกล้ชิดพระศิวะนอกจากการบำเพ็ญภาวนาแล้วกัญชาก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง
 
พวกบาบาสูบกัญชาโดยผสมกับยาเส้นใส่ลงไปในกล้องสูบที่ทำจากดินเผาลักษณะเหมือนกับบุหรี่มวนโตๆที่เรียกว่าชิลัม Chilam สูบกันตลอดเวลา และจะสูบมากขึ้นเมื่อมีเพื่อนบาบาหรือผู้ศรัทธามาเยี่ยม จะหมุนวนกันสูบโดยเริ่มจากบาบาที่อาวุโสสูงสุดก่อน แล้วส่งผ่านกันไปจนครบทุกคนเป็นการแสดงความคารวะ
 
 
 
 
 
ตัดตัณหา
เหล่าบาบาเชื่อว่าการที่จะบรรลุถึงความรู้สูงสุดได้นั้น นอกจากการบำเพ็ญเพียรด้วยวิธีต่างๆแล้ว การกำจัดตัณหาของตนลงไปจะทำให้พลังของวิญญาณเพิ่มขึ้น อันจะช่วยให้บรรลุถึงธรรมได้จากตำนาน
 
เหล่าบาบาใช้หลายวิธีในการควบคุมตัณหาของตัวเองเช่น สวมแหวนรัดอวัยวะเพศ ใส่กุญแจล็อค ใช้ไม้ ท่อนเหล็ก หรือแม้กระทั่งดาบเป็นแกนเพื่อหมุนอวัยวะเพศชายไปรอบๆจนแบนราบแล้วนั่งทับเอาไว้ 
 
 
 
 
เมื่อไร้ตัณหา ก็จะตัดวงจรของชีวิต ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย
 
 
 
 
 
 
 
ไฟบริสุทธิ์
มูลวัวถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะวัวเป็นพาหนะของพระศิวะจึงถูกใช้เป็นเชื้อไฟศักดิ์สิทธิ์ที่โยคีจุดขึ้นเพื่อได้ควันมานรมตัวเอง ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณบริสุทธิ์
 
พิธีนี้ใช้เวลาทั้งหมด 18 ปี จะแบ่งเป็น 6 ช่วงๆละ 3 ปี โดยในช่วงแรกจะใช้มูลวัวล้อมรอบตัวแล้วจุดไฟเพียง 5 ก้อน แล้วเพิ่มเป็น 7 ก้อนเมื่อบำเพ็ญครบ 3 ปี เพิ่มเป็น 12 ก้อน เป็น 84 ก้อนและ 108 ก้อนในปีที่ 15 หลังจากปีที่ 16 จึงจะมีสิทธิ์ใช้มูลวัวบรรจุลงในหม้อดินและจุดไฟวางไว้บนศีรษะ วงมูลวัวที่ล้อมรอบตัวของโยคีจะเว้นช่องว่างไว้เพื่อให้วิญญาณสามารถออกไป หรือพระเจ้าสามารถเข้ามาหาได้
 
 
 
 
 
 
 



อาบน้ำชำระบาป

 

ยังมีหลายคนที่คิดว่านี่อาจจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และอย่างเราๆชาวพุทธก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพาไปหาสิ่งชำระบาปได้จริงๆ แต่นี่คือความเชื่อของศาสนาฮินดูที่หยั่งรากลึกจากก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน

 

และนี่คือความเชื่อหนึ่งของอีกศาสนาหนึ่ง

ซึ่งจะยังคงสืบต่อเนื่องกันไปอีกยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่


Credit: http://www.kumarnthongclub.com/topic-947/
7 พ.ค. 57 เวลา 19:19 27,233 7 170
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...