จอมนางแห่งราชสำนักไทย คนที่ 9 รำไพพรรณี "ราชินีนอกบัลลังก์"

 

 

 

จอมนางแห่งราชสำนักไทย คนที่ 9  

รำไพพรรณี "ราชินีนอกบัลลังก์"

 

 

 

จากภาพด้านซ้าย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเมื่อครั้งสถาปนาขึ้นเป็นอัครมเหสี

จากภาพด้านขวา พระตำหนักที่ประทับในประเทศอังกฤษ ภาพพระอริยาบทในที่ประทับ และภาพพระเจ้าอยู่หัวในขณะเข้ารักษาพระอาการประชวร

 

หลังจากคณะราษฎรเข้ายึดอำนาจพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่7 แล้วทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีจึงตัดสินพระทัยเสด็จไปประทับยังประเทศอังกฤษเนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวต้องเข้ารักษาพระอาการประชวร ระหว่างนั้นทางรัฐบาลไทยเองก็มีโทรเลขกราบบังคมทูลขอเจรจากับพระเจ้าอยู่หัวอยู่หลายครั้ง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวไม่สามารถที่จะรับข้อตกลงหลายๆอย่างได้เพราะทรงเห็นว่าอำนาจที่คณะราษฎรได้ยึดไปนั้นไม่ได้ตกอยู่ที่มือของประชาชนตามแนวทางประชาธิปไตยแต่อย่างใด พระองค์จึงประกาศสระราชสมบัติจากการเป็นพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 

ทั้งสองพระองค์ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่ในพระตำหนักเล็กๆที่รัฐบาลอังกฤจัดถวาย สมเด็จพระบรมราชินีโปรดที่จะปลูกดอกไม้บ้างและเลี้ยงนกบ้าง ครั้นถึงวันที่30พฤษภาคม2484 รุ่งอรุณของวันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสพระเจ้าอยู่หัวทรงลุกจากพระแท่นบรรทมเสด็จพระราชดำเนินไปตามระเบียงทอดพระเนตรชมสวนดอกไม้ที่พระองค์ทรงปลูกเอง ด้านสมเด็จนางเจ้าฯเห็นว่าพระอาการของพระเจ้าอยู่หัวสดชื่นกว่าทุกวันและดูเป็นปกติดี จึงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จไปเก็บดอกทิวลิปซึ่งเป็นดอกไม้ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดมาถวาย สวนดอกทิวลิปนี้อยู่ไกลออกไปจากพระตำหนักที่ประทับดังนั้นจึงต้องเดินทางด้วยรถยนต์พระที่นั่ง

ดังนั้นในเวลา 9.30น. สมเด็จพระบรมราชินีและนางข้าหลวงจึงออกจากพระตำหนักโดยรถยนต์ส่วนพระองค์ที่ทางรัฐบาลอังกฤษจัดถวาย จึงมีเลขทะเบียนพิเศษซึ่งตำรวจจราจรทั้งเกาะอังกฤษจะรู้จักดี ณ บัดนั้นเองเหตุการที่ไม่มีผู้ใดคาดฝันก็เกิดขึ้น อาการพระหทัยพิการของพระเจ้าอยู่หัวได้กำเริบขึ้นกระทันหันขณะที่พระองค์บรรทมอยู่แต่ลำพัง พระหทัยของพระองค์เต้นอ่อนลงอ่อนลงทุกขณะ และในที่สุดพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระอาการช็อค นางพยาบาลได้รีบเข้าไปในห้องพระบรรทมเพื่อถวายการรักษา แต่ก็ช้าไปเสียแล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียแล้ว 

เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว ครั้นได้สติจึงพากันรีบโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากตำรวจให้จัดการเรียกรถยนต์พระที่นั่งที่สมเด็จพระบรมราชินีประทับไปเก็บดอกทิวลิปให้กลับพระตำหนักโดยด่วน โดยให้ทูลว่า"มีเหตุสำคัญเกิดขึ้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"ตำรวจจราจรเมืองอังกฤษนายหนึ่งซึ่งเฝ้าคอยดูทะเบียนรถยนต์พอเห็นรถยนต์พระที่นั่งจอดอยู่ก็ปรี่เข้ามาทันที และแจ้งกับข้าหลวงว่าให้ทูลสมเด็จพระบรมราชินีว่าเกิดเหตุสำคัญที่พระตำหนัก ให้รีบเสด็จกลับโดยด่วน สมเด็จพระบรมราชินีพอได้ทรงทราบก็ทรงสังหรณ์พระทัย พระพักตร์ซีดเผือดลงในทันใด และทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพระเจ้าอยู่หัวเป็นแน่ พอกลับรถเรียบร้อยก็ย้อนสู่ทางเก่า ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก สมเด็จพระบรมราชินีพระพักตร์ซีด ขอบพระเนตร์แดงก่ำ ทรงมีพระอาการเหม่อลอยสายพระเนตรมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยที่มิทรงตรัสอะไรแม้แต่คำเดียว

และในที่สุดรถยนต์พระที่นั่งก็เลี้ยวเข้าสู่ประตูพระตำหนัก ณ ที่บันไดใหญ่นั้นเอง พระประยูรญาติได้ยืนรอรับสมเด็จพระบรมราชินีอยู่ ทุกคนทำได้เพียงโค้งคำนับถวายความเคารพไม่มีใครกล้ากราบบังคมทูลอะไรใดๆ ในแววตาของทุกคนแดงก่ำความเศร้าสลดละเลงอยู่บนใบหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดแม้แต่ลมก็เหมือนถูกสาปหลับนิ่งเงียบไปหมดทั้งๆที่ฝนตกแรงยังกับพายุ ท้องฟ้าครึ้มลงทันทีทั้งๆที่เป็นเวลาเพียงบ่ายเศษๆ สมเด็จพระบรมราชินีทรงก้าวพระบาทลงจากรถด้วยความอ่อนพระทัย หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ รีบเข้าประคองและนำสมเด็จขึ้นบันไดไปบนพระตำหนัก พระองค์ก้าวพระบาทช้าๆ ด้วยความเงียบสงัดทำให้เสียงรองพระบาท(เสียงรองเท้า)ดังสะท้อนไปทั่วพระตำหนัก พระพักต์ของสมเด็จพระบรมราชินีซีตเนื้อตัวสั่นไปทั้งองค์และทรงเอื่อมพระหัตถ์เปิดประตูด้วยพระองค์เอง "ทรงทอดพระเนตรเห็นพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหงายอยู่บนเพระแท่น สมเด็จพระบรมราชินีเริ่มมีพระอาการซวนเซหมดพระกำลังคล้ายจะประชวรพระวาโย(เป็นลม) น้ำพระเนตรไหลนองออกมาเป็นสาย ทรงหลับพระเนตรเหมือนกำลังรวบรวมพระกำลังแข็งพระทัยเดินต่อไปให้ถึงเตียงและตรงเข้าทรุดพระองค์ลงกราบแล้วจูบไปที่พระบาทของพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงกรรแสงออกมาดังเสมือนพระทัยของพระองค์จะสูญสิ้นตามพระเจ้าอยู่หัวไปก็มิปาน

แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสองนาที สมเด็จพระบรมราชินีกลับทรงนิ่งไม่ปริปากตรัสอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว พระองค์ฝืนพระทัยข่มพระอารมณ์ได้อย่างน่าประหลาด ไม่มีคำพูอะไรหรือตัดพ้อใดๆ หลุดออกมาจากพระโอษฐ์เลยแม้แต่คำเดียว เสมือนว่าพระองค์จะร้องไห้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วแล้วจะไม่ให้ใครเห็นน้ำพระเนตรของพระองค์อีก หลังจากนี้ต้องลุกขึ้นยืนและเข็มแข็งสู้ต่อไป จากนั้นพระองค์จึงตั้งสติแล้วให้ทุกคนรีบจัดงานพระบรมศพโดยเร็วและเรียบง่ายตามพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัวที่เคยสั่งไว้ พระชะตากรรมและความขมขื่นที่ได้บังเกิดขึ้นกับพระองค์ครั้งนี้นับว่ายากที่จะอธิบายกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดหรือตัวอักษรได้ ถือได้ว่าพระองค์ทรงราชินีที่อยู่นอกบัลลังก์พระองค์แรกของอาณาจักรไทย พระองค์เป็นอีก1จอมนางที่แสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง และสามารถควบคุมพระสติได้อย่างมั่นคงอีกด้วย

 

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงเสด็จกลับประเทศไทยด้วยและ ได้ประทับอยู่ในประเทศไทย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2527 จึงเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระหทัยวาย ณ ตำหนักสุโขทัย กรุงเทพฯ และได้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศ ที่ได้จัดสร้างขึ้น บริเวณท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2528 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ไม่ปรากฎว่ามีพระราชโอรส หรือพระราชธิดาเลยแม้สักพระองค์เดียว


ที่มา:คลังประวัติศาสตร์ไทย

Credit: คลังประวัติศาสตร์ไทย
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...