นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
กับคดีสะเทือนขวัญ "ลูกฆ่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า" เกิดอะไรขึ้นกับสังคมเมืองพุทธ การตอบแทนพระคุณพ่อแม่ไม่จำเป็นอีกต่อไปหรือ?? เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของหลายคน
จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ที่ผ่านมา คดีลูกชายคนโต อายุ 18 ปี ได้ก่อเหตุสังหารพ่อแม่และน้องชายด้วยอาวุธปืนภายในบ้านพักย่านปทุมธานี ต่อมาตำรวจได้สอบปากคำลูกชายคนโตของครอบครัวพบพิรุธหลายอย่างจนกระทั่งเจ้าตัวให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุเอง โดยปากเล่าถึงสาเหตุว่า ฝังใจและกดดันเรื่องที่แม่ชอบดุด่าว่าและควบคุมเรื่องต่าง ๆ แม้แต่คอนโดฯ ที่พักแม่ก็ยังไปติดกล้องเพื่อตามดูพฤติกรรม ทำให้เครียดจัดก่อนลงมือได้นั่งดื่มเบียร์ย้อมใจก่อนตัดสินใจก่อเหตุร้าย โดยเดินไปปิดกล้องวงจรปิดภายในบ้าน จากนั้นหยิบปืนพกของพ่อที่เก็บไว้ในลิ้นชัก ออกมาจ่อยิงพ่อแม่และน้องชาย แล้วนำปืนไปยัดไว้ในมือน้องเพื่ออำพรางคดี ก่อนลงมานอนชั้นล่าง ตอนเช้าได้ออกจากบ้านไปตามปกติ กลับมาตอนเย็นทำทีว่าไม่พบคนในบ้าน ขึ้นไปดูบนห้องนอนจึงพบศพและโทรศัพท์แจ้งตำรวจดังกล่าว
ถัดมาเพียงข้ามเดือนเท่านั้น คดีลักษณะเดียวกันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง การสังหารครอบครัวหอมชง "พ่อแม่และพี่ชาย" เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ฆาตกรรมโหด 3 ศพ เกิดขึ้นโดยที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุ ต่อมามีการสอบสวนบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตและในวันที่ 4 เมษายน นายเต้ย ลูกชายคนเล็กของตระกูลหอมชงได้ยอมรับว่า เป็นผู้ว่าจ้างมือปืนมาสังหารคนในครอบครัว โดยมี นายศักรินทร์ เพื่อนชายคนสนิทคอยช่วยเหลือ
วันที่ 5 เม.ย. ตำรวจได้ควบคุมตัว นายเต้ย และ นายศักรินทร์ มาสอบสวนอย่างหนัก กระทั่งวันที่ 6 เมษายน เจ้าหน้าที่ได้ตามจับกุม นายฉลาด เที่ยงธรรม หรือ ป๊อด และ นายสุรพงษ์ ชูพันธ์ หรือ จ่าแอ๊ด 2 ใน 3 ผู้ต้องหาที่ร่วมกันเป็นธุระจัดการสังหารคนในตระกูลหอมชง และล่าสุดวันที่ 7 เมษายน นายสิริชัย เพิ่มพูนศักดิ์ มือปืนที่ก่อเหตุสังหารได้เข้ามอบตัวและนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บ้านหลังที่เกิดเหตุ จุดแรกคือจุดที่ยิงใส่ ร.ต.ท.ธรรมณัฐ หอมชง พี่ชายคนโตที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน จุดที่สองคือจุดยิง นางวนิดา หอมชง มารดาในห้องนอนชั้นล่าง ตามด้วยจุดที่สามจุดที่ยิง พันเอกวิชัย หอมชง บิดาในห้องนอนชั้น 2 ของบ้าน โดย นายสิริชัย ได้ใช้หมอนกดทับศีรษะเพื่อป้องกันเสียงก่อนลงมือสังหาร
ขณะที่ปมประเด็นการสังหารครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงยืนยันข้อสันนิษฐานเดิม เนื่องจาก นายเต้ย รู้สึกน้อยใจและเคืองโกรธที่ครอบครัวมักนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ชาย ประกอบต้องการทรัพย์มรดกของครอบครัว หลังพบว่าบิดามีสินทรัพย์เป็นที่ดินกว่า 4 ไร่ มูลค่าหลาย 100 ล้านบาท และมีเงินฝากจำนานหลาย 10 ล้านบาทเช่นกัน
ความโลภต่อทรัพย์สินมรดกของบุพการี เมื่อลูกเกิดความยับยั้งชั่งใจไม่ได้ ความไม่เกรงกลัวต่อบาป รอเวลาให้พ่อแม่สิ้นลมตามวาระคงไม่จำเป็น ทำไมจิตใจของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกถึงได้เหี้ยมโหดขนาดนี้ฆ่าได้แม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้องตัวเองแล้วคุณจะยืนอยู่ในสังคมได้อย่างไร??