1. BOAC Flight 712 - 8 เมษายน 1968
เครื่องบิน Boing 707-465 ได้ออกจาก London Heathrow Airport โดยมีปลายทางคือ ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย แต่เครื่องบินขัดข้องระหว่างการนำขึ้นไม่กี่วินาที ทำให้เกิดไฟไหม้บนปีกเครื่องซ้าย เครื่องยนต์ขัดข้องจึงจำต้องลงจอดฉุกเฉินในทันที โดยกลับลงจอดที่สนามบินเดิม นับเวลาเครื่องขึ้นไปได้เพียงแค่ 3นาที 32 วินาที
การลงจอดฉุกเฉินประสบความสำเร็จ แต่มีผู้เสียชีวิต 5 ราย 1 ในนั้นเป็นแอร์โฮสเตสวัย 22 ปี Barbara Jane Harrison ซึ่งพยายามที่จะอพยพทุกคนออกจากเครื่องบินที่ไฟไหม้ โดยปฏิเสธที่จะละทิ้งหน้าที่
เธอสามารถต้อนผู้โดยสารลงยังสไลด์ฉุกเฉินเพื่อลงไปยังพื้นดินได้จนเกือบ ครบ และก่อนที่สไลด์ฉุกเฉินจะถูกเผาทำลาย เธอตัดสินใจกลับเข้าไปช่วยผู้โดยสารที่เหลือ แทนที่จะสไลด์ตัวออกมาเพื่อเอาตัวรอด
ในที่สุดก็มีการค้นพบศพของเธออยู่แถวศพผู้โดยสารพิการที่เธอพยายามช่วย ชีวิต ผลจากการเสียสละของเธอทำให้คนส่วนใหญ่บนเครื่องรอดชีวิต ทางอังกฤษได้มอบเหรียญ George Cross เพื่อเป็นเกียรติแห่งความกล้าหาญของเธอ และยังมีการพิมพ์หนังสือ FIRE OVER HEATHROW ที่มีรูปของเธออยู่บนหน้าปกอีกด้วย
2. British Airtours Flight 28M - 22 สิงหาคม 1985
ใน Manchester Airport ประเทศอังกฤษ British Airtours Flight 28M เตรียมตัวเพื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะ Corfu ประเทศกรีก ในระหว่างที่เครื่องบินแล่นอยู่บนรันเวย์เตรียมจะขึ้นบินก็มีเสียงคล้าย ระเบิดดังขึ้น
กัปตัน Peter Terrington และผู้ช่วย Brian Love ได้ ยินเสียงระเบิด พวกเขาคาดว่าน่าจะเป็นเสียงล้อเครื่องบินระเบิดแน่นอน จึงได้จอดและเตรียมทำการซ่อมโดยไม่ได้อพยพผู้โดยสารลงแต่อย่างใด
ปรากฏว่าสาเหตุที่แท้จริงกลับเป็นไฟไหม้บริเวณเครื่องยนต์ที่ลุกลามเข้า ไปในตัวเครื่อง ส่งผลให้ผู้โดยสารเสียชีวิต 53 คนและลูกเรืออีก 2 คน ซึ่งลูกเรือทั้ง 2 คือ Jacqui Ubanski และ Sharon Fordทำงานอยู่ด้านหลังเครื่อง เสียชีวิตในระหว่างการพยายามเปิดประตูเครื่องด้านหลัง
ในขณะที่ด้านหน้าเองก็มีลูกเรืออีก 2 คน Arthur Brad bury และ Joanna Toff ที่ เปิดประตูด้านหน้าได้สำเร็จและย้อนกลับไปช่วยต้อนผู้โดยสารออกมาได้ ทำให้มีผู้รอดทั้งหมด 82 คน โดยลูกเรือทั้ง 4 คนต่างก็ได้รับเหรียญกล้าหาญ เช่นเดียวกัน
3. Pan Am Flight 73 - วันที่ 5 กันยายน 1986
ระหว่างที่ โบอิ้ง 747-121 จอดอยู่ที่สนามบินปากีสถาน ก็ถูกไฮแจคด้วยคนร้าย 4 คน โดยทั้ง 4 เป็นสมาชิกของกลุ่มก่อการร้าย Abu Nidal โดยในเครื่องมีผู้โดยสาร 360 คน
ลูกเรือได้รับคำสั่งให้เก็บพาสปอร์ตของผู้โดยสารทั้งหมด Purser NeerjaBhanot ลูก เรือคนหนึ่ง เกรงว่าผู้โดยสารที่เป็นชาวอเมริกาอาจจะได้รับอันตรายเธอจึงได้ ซ่อนพาสปอร์ตบางส่วนของชาวอเมริกาไว้ใต้เบาะที่นั่ง ส่วนที่เหลือเอาไปทิ้งที่ท่อทิ้งของเสีย
การจี้เครื่องบินจบลงด้วยการที่คนร้าย โยนระเบิดและฆ่าคนในเครื่องโดยสุ่มยิง การยิงผู้โดยสารในระหว่างที่ประตู3เปิดออก NeerjaBhanot ได้เอาตัวเองบังกระสุนเพื่อปกป้องเด็ก 3 คน ทำให้เธอเสียชีวิต รวมไปถึงผู้โดยสารอีก 20 คนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
คนร้ายถูกจับระหว่างพยายามหลบหนีออกจากสนามบิน ส่วน Purser NeerjaBhanot ได้รับรางวัลเหรียญกล้าหาญ เป็นการตอบแทนความเสียสละของเธอ
4. Aloha Airlines Flight 243 - วันที่ 28 เมษายน 1988
โบอิ้ง 732-297 กำลังเดินทางจากฮิโล มุ่งหน้าสู่โฮโนลูลู ของฮาวาย มีผู้โดยสาร 89 คน และพนักงานต้อนรับอีก 3 คน เกิดอุบัติเหตุอันเนื่องจากแรงอัด บวกกับอุปกรณ์บางอยางที่เกินอายุการใช้งานของเครื่องบิน ส่งผลให้ชิ้นส่วนด้านบนของเครื่องบินหลุด
โดยส่วนที่หลุดคือชิ้นส่วนเหนือที่นั่งผู้โดยสารโซนหน้า และทำให้ Clarabelle Lansing ลูกเรืออาวุโสถูกดูดออกจากตัวเครื่องไปและไม่มีใครพบร่างของเธออีกเลย เธอถุกระบุว่าเป็นผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวในเหตุการณ์นี้
ในขณะที่ผู้โดยสารที่เหลือยังพอจะปลอดภัยจากเข็มขัดนิรภัย แอร์โฮสเตสที่เหลือซึ่งบาดเจ็บจากแรงกดอากาศพยายามลุกขึ้นช่วยเหลือผู้ โดยสารจนกระทั่ง เครื่องบินลงจอดฉุกเฉินที่สนามบิน คาฮู ผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมดบาดเจ็บ
5. British Airways Flight 5390 - วันที่ 10 มิถุนายน 1990
เที่ยวบินนี้เป็นการบินจาก เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ มุ่งหน้าสู่ มาลากา ประเทศสเปน) มีผู้โดยสาร 81 คน ลูกเรือ 4 คน หลังขึ้นบินไปประมาณ 15 นาที กระจกด้านซ้ายฝั่งกัปตันก็เกิดหลุดออก ส่งผลให้ตัวกัปตัน Lancaster หลุดออกจากห้องควบคุมออกไปทางหน้าต่าง
แต่ขาของเขายังคงเกี่ยวกับหน้าต่างอยู่ ลูกเรือ Nigel Ogden จึงช่วยจับขาเขาไว้ ในขณะที่ Atchisonผู้ช่วยนักบินพยายามเอาเครื่องที่กำลังสูญเสียการควบคุมให้ลงจอดฉุกเฉิน
ภาพจำลองเหตุการณ์
ทั้งคู่เข้าใจว่ากัปตันน่าจะตายแล้วจากแรงกดอากาศ แรงลมและอากาศเย็นรุนแรง แต่เพื่อไม่ให้ร่างของกัปตันหลุดเข้าไปในเครื่องยนต์ด้านหลังจึงต้องจับตัว เอาไว้ ในขณะที่ลูกเรือที่เหลือพยายามให้ความมั่นใจกับผู้โดยสารเพื่อให้เกิดความ สงบ
หลังจากเอาเครื่องลงได้ โดยที่ไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ จึงพบว่ากัปตันยังคงมีชีวิตแต่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง และช็อคกับเหตุการณ์ โดยรักษาอยู่นาน 5 เดือนจึงกลับมาทำงานได้พร้อมกับอาการบาดเจ็บบางอย่างที่ไม่หายเลยตลอดชีวิต
ส่วน Nigel Ogden ลูกเรือที่พยายามจับ ร่างกัปตันไว้นั้นบาดเจ็บที่ใบหน้าดวงตาด้านซ้าย และไหล่ จากการขืนตัวจับร่างของอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ปลิวหลุดในความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมง