เรื่องโดย : ปูมิ www.marumura.com
หลังจากที่ช่วงนี้ตัวผมเองต้องศึกษาข้อมูลการไปเที่ยวญี่ปุ่นมากพอสมควร เนื่องเพราะต่อจากนี้คงมีเหตุให้ต้องตระเวนไปอยู่บ่อยครั้ง และยิ่งมามีโอกาสอ่านบทความของคุณ The 19th Ronin ที่เป็นประโยชน์สุดๆ ก็เลยคิดว่า เราก็มีอีกมุมมองหนึ่งที่ตัวเองและคนรู้จักได้ประสบพบเจอในญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะนำมาเล่า โดยเฉพาะเรื่องราวในตอนที่รู้ว่าเราจะต้องบุกโตเกียวคนเดียว จนตระหนักว่าการเที่ยวในโตเกียวคนเดียว “ง่ายซะเหลือเกิน”
ออกตัวก่อนว่าผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไรหรอกครับ ก่อนจะไปญี่ปุ่นครั้งแรกก็มีเหวอๆ เหมือนกัน ถามนู่นถามนี่ คือกังวลไปหมด กลัวจะไปเจออะไรอันตรายๆ เข้าแล้วตั้งตัวไม่ถูก ทั้งที่จริงๆ ญี่ปุ่นมันเป็นประเทศที่ค่อนข้างสันติสุขและมีระเบียบแบบแผนให้เรามีทางหนีทีไล่อยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำ... เรามาเริ่มที่การซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนดีกว่า
โดยปกติแล้วผมจะใช้บริการของ eTravelway , tg191 หรือ cheaptickets ถามว่าทำไมต้องเลือกเอาไว้หลายเว็บไซท์ คำตอบก็คือแต่ละช่วง แต่ละสายการบิน ก็จะมีโปรโมชั่นตั๋วถูกเอาไว้ให้ต่อสู้แย่งชิงกันอยู่เสมอ ดังนั้นหากตั๋วโปรโมชั่นในเว็บไซท์หนึ่งหมด ก็ให้ลองไปหาตั๋วรอบเดียวกันในอีกที่นึง ซึ่งอาจมีหลงเหลืออยู่บ้าง เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในกรณีที่จะไปกัน 2 คน และสมมติตอนกดเลือก flight มันขึ้นมาว่าตั๋วรอบโปรโมชั่นขายหมดแล้ว ก็อย่าเพิ่งถอดใจครับ ! ให้ลองเปลี่ยนจาก 2 คนเป็น 1 คนก่อน แล้ว search หาอีกที เพราะบางครั้งถ้าเลือกแบบนี้ มันดันขึ้นว่าตั๋วเหลือซะงั้น ถ้าเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น ผู้ซื้อตั๋วก็แค่กดซื้อ 2 ครั้ง (แต่แนะนำให้กดซื้อจากคอม 2 เครื่องพร้อมๆกันดีกว่า ถ้ากดทีละอัน โดนตัดหน้าละเสียหายเลย) กรณีนี้ผมเพิ่งทำมาเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานี้เองครับ เป็นตั๋วของการบินไทย เรียกได้ว่าฟินกันเลยทีเดียว (^_^)
จากนั้นก็มาสู่ประเด็นต่อไป ก็คือ “ด่านตรวจคนเข้าเมือง” ครับ !!! ตรงนี้ถือว่ามีประเด็นโดยส่วนตัวอยู่พอสมควร กล่าวคือ “ถึงแม้ญี่ปุ่นจะประกาศยกเลิกวีซ่าให้กับคนไทยแล้ว แต่มันไม่เกี่ยวกับคนที่เคยถูกปฏิเสธการการขอวีซ่า” นะครับ...
ผมเชื่อว่าหลายคนคิดว่าเมื่อญี่ปุ่นประกาศยกเลิกวีซ่าให้กับคนไทยแล้ว เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดจะหายไป เพราะถ้าดวงตก คุณจะโดน “กักตัว” ที่ห้องเย็นในสนามบินทันที (อย่างไรก็ตาม บางคนก็สามารถผ่านไปได้เลย อันนี้อาจจะขึ้นอยู่กับดวง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะโดนกัก) ประสบการณ์ที่พบเจอมา เป็นของเพื่อนผมเองครับ โดนปฏิเสธวีซ่าในไทยเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา และเดินทางไปญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน ก็โดนกักตัวพร้อมเหตุผลว่า
“นี่ไม่ใช่เรื่องสนุก คุณควรจะปรึกษาสถานทูตก่อนซื้อตั๋วเครื่องบินมาที่นี่”
และสำคัญที่สุด “เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นแกร่งมาก!!!” ดังนั้น เราอย่าไปโกหกเขาเด็ดขาด เนื่องจากเขามีศักยภาพในการค้นหาข้อมูลของเราอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าคุณเป็นใคร ทำอะไร จะมาทำอะไรที่ญี่ปุ่น หรืออื่นๆ ซึ่งจะมามัดตัวคุณทันทีหากคุณโกหก ดังนั้นวิธีที่ล่ามญี่ปุ่นในสนามบินแนะนำก็คือ
“ให้พูดความจริง ถ้าพูดความจริง เรายังจะเป็นคนจริงใจอยู่บ้าง แต่ถ้าเราโกหกแล้วคนญี่ปุ่นจับได้ เรามีโอกาสโดนส่งกลับประเทศทันที”
หรือวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือ “อย่าไปพูดภาษาญี่ปุ่นงูๆ ปลาๆ กับเขา ให้แกล้งโง่ไปเลยก็ได้ จนเขามีล่ามไทยมาช่วยเหลือ ตรงนั้นแหละที่เราจะอธิบายถึงความจำเป็นหรือความเหมาะสมในการเข้าประเทศได้ดีที่สุด”
สรุปแล้วเพื่อนผมใช้เวลา 5 ชั่วโมงในห้องเย็น จนสามารถเข้าญี่ปุ่นได้อย่างทุลักทุเล พร้อมกับคำสั่งเสียจากเจ้าหน้าที่ส่งท้ายว่า “ไปคุยกับสถานทูตให้เรียบร้อย ไม่งั้นคราวหน้าเราก็จะได้พบกันอีก”
อันนี้ขอฝากให้กับสาวๆ หรือหนุ่มๆ นิดหนึ่ง... คือถ้าเกิดโดนกักตัวแล้วเค้าถามว่ามาทำอะไร การตอบว่า “มาดูคอนเสิร์ตไอดอล” ฟังไม่ขึ้นนะครับ แหม่... คือถ้าใครโชคดีก็ดีไป แต่ผมถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นเขาบอกว่า ญี่ปุ่นธุรกิจเพลงมันมองว่าประเทศตัวเองคือตลาดใหญ่ แล้วเขาก็ไม่ได้ทำการตลาดในเมืองนอกอย่างจริงๆ จังๆ ดังนั้นเจ้าหน้าที่เขาอาจจะมองว่าวงดนตรีเหล่านั้นไม่น่าจะดึงดูดเราได้มากพอถึงขนาดต้องเดินทางมาดูแบบตัวเป็นๆ (คิดผิดแล้วนาย... เราคนนึงล่ะ 555) ดังนั้นเราบอกแค่ว่า “มาเที่ยวครับ/ค่ะ” น่าจะเป็นคำตอบกว้างๆ ที่โอเคที่สุดนะ
ทีนี้การเข้าเมือง จะทำยังไงดี? เราขอแนะนำรถไฟเชื่อมสนามบิน ที่จะทำให้คุณลืมภาพ Airport Link อันแสนพลุกพล่านและรวดเร็วของเมืองไทยโดยทันที เพราะที่ญี่ปุ่น เรามี Skyliner รถไฟความเร็วสูง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่จะพาทุกท่านแล่นตรงมุ่งสู่ใจกลางกรุงโตเกียว สนนราคาเพียง(?) 2,400 เยนเท่านั้น !!!...
ว่าไงนะ!? แพงเหรอ? ผมคิดว่าเรารีบย้ายตัวจากสนามบินมาในเมืองให้เร็วที่สุดเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้น 2,400 เยนแลกกับเวลาเที่ยว ผมว่าคุ้มมากเลยนะ โดยรถไฟสายนี้จะไปลงที่สถานี Nippori และ Ueno ตามลำดับ
ทีนี้ปัญหาต่อมาที่คนไทยจะกลัวก็คือ “รถไฟ” !!! เพราะถ้าเกิดเราอ่านพวกหนังสือแนะนำท่องเที่ยวหลายๆ เจ้า เค้าอาจจะอธิบายด้วยศัพท์เทคนิคหรืออะไรต่อมิอะไร ซึ่งพูดตรงๆว่า ผมก็คือหนึ่งในคนที่งงและสับสนว่า เอ่อ... โรงแรมของฉัน ต้องไปลงนิปโปริ.. ต่อยามาโนเตะ ไลน์... ต่อหมูเห็ดเป็ดไก่อะไรมากมาย ซึ่งจากแผนที่ในสถานีก็ดูจะไม่ช่วยอะไรเราเท่าไหร่ เหมือนแผนที่ล่าสมบัติสุดขอบฟ้ามากกว่า (T_T)
แต่... ปัญหาแบบนี้จะหมดไป ! เพราะเราขอแนะนำให้ท่านใช้บริการ แอพพลิเคชั่น Hyperdia หรือจะเข้าผ่านเว็บไซท์ก็ได้ที่ www.hyperdia.com ... แค่นั้นแหละ ใส่สถานีต้นทางและสถานีปลายทาง แล้วก็ค่อยๆ ต่อเส้นทางไปตามที่เว็บไซท์บอก รับรองถึงไม่มีหลง
พูดถึงเรื่องอินเตอร์เน็ท ผมอยากจะบอกว่า “ฟรี Wi-Fi” ในญี่ปุ่นมีค่อนข้างน้อยมากครับ ดังนั้น ผมอยากให้ลองซื้อ WiFi Adaptor มา ซึ่งรายละเอียด ทาง marumura โดยคุณ The 8th Ronin ได้เขียนเอาไว้อย่างละเอียด ในลิงค์ http://www.marumura.com/travel/?id=3051 เข้าไปศึกษากันได้ครับ
โดยส่วนตัวผมมักจะตระเวนอยู่แถวๆ อากิฮะบะระ , อิชิกายะ , อิตะบะชิ , ชินจูกุ อะไรเทือกนี้ซะเป็นส่วนใหญ่ และที่เดียวที่ผมได้ใช้ WiFi ฟรีก็คือ ตรงทางออก Akihabara Electric Town เลย (เหมือนจะเป็นสัญญาณที่กระจายมาจากสถานีรถไฟ) และก็ร้าน BECK COFFEE ติดกับ AKB48 Café & Shop นั่นล่ะ นอกจากนั้นก็จะเป็นสัญญาณของร้านคอมบินิ เช่นพวก Family Mart ต่างๆ ซึ่งก็ต้องหาข้อมูลการสมัครอีกทีหนึ่ง แต่คงไม่ถูกไปกว่าตัวอแดปเตอร์ซึ่งสะดวกและใช้งานได้ง่ายกว่ามาก ดังนั้นผมถือว่าอแดปเตอร์นี้คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณเที่ยวญี่ปุ่นตัวคนเดียวได้อย่างไม่มีปัญหาครับ
ที่มักจะงงกันอีกอย่างก็คือ “การซื้อตั๋วรถไฟ” กล่าวคือด้วยความที่เราเองก็ไม่สามารถอ่านภาษาญี่ปุ่นกันได้อย่างเฉียบขาด ดังนั้นการซื้อตั๋วรถไฟญี่ปุ่น อาจทำให้เราไม่แน่ใจว่าต้องเลือกซื้อตั๋วในราคากี่บาท ดังนั้นเราขอแนะนำบัตร Suica (คล้ายๆบัตรแรบบิทบ้านเรานั่นล่ะ) ที่จะหักเงินจากบัตรไปทันที ซึ่งเหมาะกับเราที่ไม่อยากคิดอะไรมาก เติมๆ เงินไว้แล้วปล่อยให้มันหักไป (พอหมดก็เติมใหม่) วิธีการได้บัตรมาก็ไม่ยากเลยครับ กดตามตู้อัตโนมัติที่สถานีได้เลย สะดวกสบายมากๆ (^_^)
อนึ่ง อันนี้บอกไว้ก่อนว่า คนไทยหลายๆ คน ที่ใช้บริการ BTS ในบ้านเรา และนิยมซื้อตั๋วไว้ก่อนเลยตอนคนน้อยๆ (แบบว่าตอนเย็นคนเยอะ ขี้เกียจต่อคิว) ผมจะบอกว่าตั๋วของแต่ละสถานี ถึงจะราคาเท่ากัน ก็ใช้ร่วมกันไม่ได้นะครับ (อย่างในไทยบัตรราคาเท่ากัน ก็ใช้ร่วมกันได้หมด ทำให้เกิดกรณี สลับบัตร มั่วราคาตั๋วกัน งงไปหมด) ดังนั้นต้องระวังและอย่าพลาดเรื่องนี้นะครับ เพราะนายตำรวจที่สถานีเค้าจะไม่เข้าใจว่าเราทำไปเพื่ออะไร เผลอๆ จะโดนหาว่า “โกง” อีกต่างหาก
อีกอย่างที่ต้องระวังให้ดีที่สุดก็คือ ในโตเกียวการขึ้นบันไดเลื่อน เราจะ “ชิดซ้าย” กันนะครับ ส่วนทางด้านขวาเราจะปล่อยโล่งไว้เพื่อให้คนที่กำลังรีบ เดินขึ้นไปก่อน ดังนั้นเราอย่าไปยืนสะเปะสะปะเหมือนในไทยนะครับ อันนี้คนญี่ปุ่นค่อนข้างถือมากทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้เนี่ยผมอยากให้เอามาใช้ในเมืองไทยมากจริงๆ เพราะว่าระเบียบแบบแผนเหล่านี้มันดูใส่ใจรายละเอียด และทำให้ “การวางแผนชีวิต” ถูกกำหนดได้ตายตัวมากขึ้น เพราะแม้แต่ “ความเร่งรีบ” ก็ยังมีฐานรองรับให้มันบรรลุผลอย่างดีที่สุด
จริงๆ แล้วยังมีเรื่องราวอีกมากสำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งจะให้บรรยายเท่าไรก็คงบรรยายไม่หมด ดังนั้นผมขอสรุปง่ายๆ ด้วยประโยคเดียวว่า
“ไปญี่ปุ่นคนเดียว ไม่ยาก”
และถ้าหากมีปัญหาอะไร เราก็แนะนำเว็บไซท์ www.marumura.com ของเราเนี่ยละครับ ที่มีข้อมูลครอบคลุมทุกอย่างเกี่ยวกับญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวทุกท่านอย่างแน่นอน
ติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii และพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ (ปล.ใครมีปัญหาสงสัยเกี่ยวกับญี่ปุ่น / ไอดอล หรือติชมข้อเขียน / พูดคุยเรื่อยเปื่อย ก็เข้ามาในทวิตเตอร์ได้เลยนะครับ)
เรื่องโดย : ปูมิ www.marumura.com