ประเทศไทย
มาเรียนสังคมศึกษากันเถอะ
ณ ดินแดนอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นสถานที่ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานและมีความสำคัญอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จากหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้ค้นพบ ปรากฏว่าเคยเป็นสถานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ย้อนหลังไปได้หมื่นปี ตั้งแต่มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ นุ่งห่มหนังสัตว์ อาศัยอยู่ตามถ้ำ และมีการอพยพของกลุ่มคนแบบค่อยเป็นค่อยไป ประกอบด้วยยุคหินเก่าอายุ ๑๐,๐๐๐ ปี ยุคหินกลางอายุระหว่าง ๑๐,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปี นับเป๋นดินแดนที่มีอารยธรรมเก่าแก่ไม่แพ้อารยธรรมอื่นๆ ของโลก
เมื่อเวลาผ่านไป มีการรับอารยธรรมต่าง ๆ เข้ามา เกิดการรวมกลุ่มเป็นแคว้นหรือรัฐ มีวิวัฒนาการในการดำรงชีวิตสืบมา จนสามารถสร้างวัฒนธรรมที่เป็นแบบฉบับของตน มีแร่ธาตุและทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะทองคำและเงิน จึงมีชื่อเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่าดินแดนสุวรรณภูมิ หรือแผ่นดินทองที่ประกอบด้วยแคว้นน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่ว เช่น แคว้นทวารวดี มีศูนย์กลางการปกครองที่เมืองนครปฐมหรือเมืองอู่ทอง แคว้นศรีวิชัย มีศูนย์กลางการปกครองที่เมืองไชยา แคว้นลพบุรีหรือละโว้ มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองละโว้ ฯลฯ
ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐ เช่น รัฐล้านนาในภาคเหนือ รัฐสุโขทัยแถบลุ่มแม่น้ำยม และรัฐในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คือ อโยธยาและละโว้ซึ่งมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถรวมรัฐอื่นในดินแดนแถบนี้ให้อยู่ในการปกครอง มีชื่อว่าอาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีความเจริญสูงสุดสืบต่อมาถึง ๔๑๗ ปี มีพระมหากษัตริย์ทรงปกครอง ๓๓ พระองค์ และเมื่ออาณาจักรแห่งนี้ศูนย์เสียเอกราช จึงได้ย้ายมาสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ จากนั้นได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ จวบจนถึงสมัยปัจจุบัน มีพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีทรงปกครองมาถึงรัชกาลที่ ๙ และสามารถรักษาเอกราชได้ตลอดมา รวมทั้งได้ชื่อว่าเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคแห่งนี้ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศทางแถบตะวันตก
สำหรับการเรียกชื่อประเทศนั้น เนื่องจากในสมัยก่อนแนวคิดเรื่องรัฐชาติยังไม่ปรากฏชัดเจน จึงเรียกชื่อเมืองตามชื่อแคว้น เช่น กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และเรียกชาวเมืองว่า สยามบ้าง ไทยบ้าง จนเมื่อประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดินิยมในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระองค์จึงพยายามดัดแปลงให้ประเทศไทยมีลักษณะสมัยใหม่ขึ้น และเริ่มมีการใช้ชื่อประเทศว่าราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ จนถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัย(ราว พ.ศ. 1792 – พ.ศ. 2006)
ก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย ดินแดนตั้งแต่ภาคเหนือ ลงมา แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาถึงอ่าวไทย อยู่ภายใต้การปกครองของขอม โดยดินแดนตั้งแต่ปากน้ำโพขึ้นไป เป็นอาณาเขตสยาม มีเมืองสุโขทัยเป็นศูนย์กลาง และดินแดนส่วนใต้ ตั้งแต่ปากน้ำโพ ลงมาถึงอ่าวไทย เป็นอาณาจักรละโว้ ราวปี พ.ศ. 1780 พ่อขุนบางกลางหาว (หรือพ่อขันบางกลางท่าว) เจ้าเมืองบางยาง และพ่อขันผาเมือง เจ้าเมืองราช ได้ร่วมกันรวบรวมกำลัง เข้าตีเมืองสุโขทัยและเมืองต่าง ๆ ของขอม แล้วสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยมีพ่อขุนบางกลางหาวเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์พระร่วง ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปกครองกรุงสุโขทัย และมีกษัตริย์สืบต่อมารวม 9 พระองค์ ดังนี้
ยุคแรกของอาณาจักรสุโขทัย มีเมืองใหญ่ที่สุโขทัย และเมืองเชลียง และมีเมืองเล็ก ๆ อยู่ตามลุ่มแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ด้านเหนือติดเมืองแพร่ ด้านใต้ติดเมืองพระบาง (คือนครสวรรค์ในปัจจุบัน) พลเมืองไม่มากนัก
ในสมัยพ่่อขุนรามคำแห่ง ได้มีการแผ่ขยายอาณาเขตไปมากมาย
ทิศเหนือ จดเขตล้านนาไทยที่ลำปางกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ได้ครองราชย์สืบต่อกันมาเป็นเวลาราว 200 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 1780 - พ.ศ. 1981 แต่ในราวปี พ.ศ. 1983 กลุ่มคนไทยทางตอนใต้กรุงสุโขทัย ได้สถาปนาอาณาจักรบริเวณลุ่มแน่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างขึ้น โดยมีพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรอยุธยา
อาณาจักรอยุธยาซึ่งมีทำเลที่ตั้งดี มีกษัตริย์ที่เข้มแข็ง ได้ขยายอำนาจเพิ่มขึ้นตามลำดับ และสามารถยึดครองอาณาจักสุโขทัยเป็นประเทศราชได้ ในสมัยพระมหาธรรมราชที่ 2 และต่อมาในปี พ.ศ. 1981 ก็ได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
การปกครองสมัยสุโขทัย
การปกครองสมัยสุโขทัย เป็นการปกครอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจสูงสุด อยู่กับพระมหากษัตริย์ แต่เนื่องจากอาณาเขตของสุโขทัย ไม่กว้างขวางนัก ประชากรก็ยังมีไม่มาก รวมทั้งกษัตริย์ ทรงเป็นธรรมราชา ปกครองอาณาจักร เสมือนเป็นผู้นำชุมชน หรือพ่อเมือง การปกครองในระยะแรกของสมัยสุโขทัย จึงมีลักษณะเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก
การปกครองภายหลังสมัยพ่อขุนรามคำแห่ง มหาราช ได้เปลี่ยนแปลงไปตามอิทธิพลของขอม คือ ยกย่องฐานะของกษัตริย์ให้สูงขึ้น พระนามของกษัตริย์ จึงเปลี่ยนแปลงจาก "พ่อขุน" เป็น "พญา"
ลักษณะการปกครอง ที่เป็นการกระจายอำนาจ คือ การกระจายอำนาจจากศูนย์กลาง ไปยังเมืองอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อรักษาและป้องกันมิให้ดินแดนเหล่านั้นถูกแย่งชิง
การปกครองที่มีแนวโน้มเข้าได้กับหลักการปกครองแบบประชาธิไตย ที่เห็นได้ชัด คือ
ราษฎรมีเสรีภาพในการเรียกร้องความยุติธรรม ราษฎรมีเสรีภาพในการค้าขาย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
สังคมในสมัยสุโขทัย
สมัยอยุธยา
(พ.ศ. 1893 – พ.ศ. 2310)
การสถาปนากรุงศรีอยุธยา
ในราวปี พ.ศ. 1893 เมื่อกรุงสุโขทัย เริ่มเสื่อมอำนาจลง หัวเมืองต่าง ๆ จึงแข็งข้อ เมืองอู่ทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัยเป็นเมืองใหญ่ พระเจ้าอู่ทอง จึงเริ่มสะสมกองกำลัง และเป็นผู้นำคนไทย ที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลาง และตอนล่าง ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นอิสระจากสุโขทัย โดยตั้งราชธานีบริเวณหนองโสน หรือบึงพระราม ซึ่งก็คือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน เหตุที่ย้ายเมืองมาสร้างราชธานีที่กรุงศรีอยุธยา ก็เนื่องจากเป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ และเป็นที่รวม ของแม่น้ำหลายสาย จึงเป็นปากประตูสู่เมืองทางด้านเหนือทั้งสุโขทัยและเชียงใหม่ พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์อู่ทอง ทรงพระนาว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ครองราชย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาอยู่นาน เป็นเวลาถึง 20 ปี
กรุงศรีอยุธยามีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาโดยลำดับ ทั้งนี้เพราะทำเลที่ตั้ง มีความเหมาะสมหลายประการ คือ
กรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีอยู่เป็นระเวลาถึง 417 ปี มีกษัตริย์ปกครองถึง 5 ราชวงศ์ ดังนี้
ราชวงศ์อู่ทอง (พ.ศ. 1893 - 1913 และ พ.ศ. 1931 - 1952) ราชวงศ์สุวรรภูมิ (พ.ศ. 1913 - 1931 และ พ.ศ. 1952 - 2112) ราชวงศ์สุโขทัย (พ.ศ. 2112 - 2172) ราชวงศ์ปราสาททอง (พ.ศ. 2172 - 2231) ราชวงศ์บ้านพลูหลวง (พ.ศ. 2231 - 2310) การปกครองการจัดการปกครองในระยะแรก เป็นการนำเอาลักษณะการปกครองในสมัยสุโขทัย และการปกครองของขอมเข้ามาใช้ ฐานะของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยสุโขทัย คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ ทรงมีอำนาจสูงสุด ในการปกครอง ซึ่งเรียกว่า การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การจัดระเบียบการปกครองในสมัยอยุธยา แบ่งได้เป็น 2 สมัย ดังนี้ คือ
สมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. 1893 - 1991) มีลักษณะดังนี้ปัญหาที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองในสมัยอยุธยา คือการแย่งชิงราชสมบัติและอำนาจของขุนนางฝ่ายต่าง ๆ เนื่องจากขาดความสามัคคี และไม่มีระบบการสืบราชสมบัติที่แน่นอนขาดประสิทธิภาพ
สังคมในสมัยอยุธยา
สังคมไทยในสมัยอยุธยา ประกอบด้วยบุคคล 5 กลุ่ม ได้แก่ พระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูง ขุนนาง ไพร่ ทาส และผู้ที่ได้รับการยกย่องเลื่อมใสจากคนทุกกลุ่ม คือ พระสงฆ์
ลักษณะการแบ่งชนชั้นในสังคมไทยมีลักษณะไม่ตายตัว บุคคลอาจจะเสื่อมตำแหน่งฐานะทางสังคมของตนได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ และคุณประโยชน์ที่มีต่อประเทศชาติ
สถาบันที่มีอิทธิพลต่อสังคมในสมัยอยุธยาเป็นอันมาก ได้แก่ พระพุธะศาสนา เพราะเป็นศาสนาของทุกชนชั้น และเป็นเครื่องจรรโลงเอกภาพของสังคม วัดในพระพุทธศาสนา จึงมีความสำคัญดังนี้
เป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นสถานศึกษาเล่าเรียน โดยมีพระสงฆ์เป็นครู เป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมไทย เป็นสถานที่พบปะและจัดกิจกรรมของราษฎรกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่นานถึง 417 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ. 1893 - 2310 แต่กรุงศรีอยุธยา ได้เริ่มเสื่อมลงน้อย นับแต่ต้นราชวงศ์บ้านพลูหวง เป็นต้นมา โดยมีสาเหตุสำคัญดังนี้
1. เกิดการแย่งชิงราชสมบัติ
2. ขุนนางและเจ้านายผู้ใหญ่แตกสามัคคี
3. ทหารแตกแยกกัน กองทัพขาดการเตรียมพร้อม
นอกจากสาเหตุที่เกิดขึ้นภายในกรุงศรีอยุธยาเองดังกล่าวแล้ว ยังประกอบกับพม่ามีกำลังและอำนาจมากขึ้น ภายใต้การนำของกษัตริย์ราชวงศ์อลองพญา พร่มจึงได้ปราบปรามกบฎ และเคลื่อนทัพมายังดินแดนไทย โดยเริ่มจากการตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ เรื่อยมาจนล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ โดยกรุงศรีอยุธยาไม่อาจต้านทานได้ เนื่องจากสาเหตุดังต่ไปนี้
พระมหากษัตริย์อ่อนแอ แม่ทัพนายกองที่มีความสามารถ ไม่ได้รับความสะดวกในการสู้รบ ทหารขาดความสามารถ เพราะว่างศึกษานาน
กรุงศรีอยุธยาต้องเสียแก่พม่าใน พ.ศ. 2310 การเสียกรุงครั้งนี้ บ้านเมืองได้รับความเสียหายมาก พม่าได้กวาดต้อนทรัพย์สมบัติ และผู้คนไปเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก
กรุงศรีอยุธยา ได้สิ้นสุดลงด้วยระยะเวลา 417 ปี โดยทิ้งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง รวมทั้งบทเรียนจากอดีต ที่มีผลให้เสียกรุง จนไม่อาจสถาปนาขึ้นใหม่ได้
สมัยธนบุรี
(พ.ศ.2310 – พ.ศ. 2325)
การสถาปนากรุงธนบุรี
ภายหลังการสูญเสียกรุงศรีอยุธยา แก่พม่าแล้ว บ้านเมืองอยู่ในสภาพระส่ำระสาย ขาดพระเจ้าแผ่นดินปกครอง ประชาชนพากันหลบหนีไปอยู่ตามป่า และหัวเมืองห่างไกล อย่างไรก็ตาม การเสียกรุงครั้งที่ 2 นี้ยังมีหัวเมืองอีกหลายแห่ง ที่รอดพ้นจากการทำลายของพม่า จึงได้มีผู้นำคนไทยตั้งตัวเป็นเจ้าชุมนุมขึ้น เพื่อรวบรวมกำลังเข้ากอบกู้อิสรภาพต่อไป
ชุมนุมคนไทยทั้ง 5 ชุมนุม ได้แก่
ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ชุมนุมเจ้าตาก หรือพระยาตาก (สิน) ซึ่งสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ ภายในปีเดียวกันนั้น โดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนพระราชประวัติพระเจ้าตากสินมหาราช และการกอบกู้อิสรภาพ
พระเจ้าตากสินมหาราช มีพระนามเดิมว่า สิน มีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน บิดาชื่อขุนพิพัฒน์ (ไหฮอง-เชื้อชาติจีน) มารดาชื่อ นางนกเอี้ยง ได้รับการศึกษาอบรม จนได้้รับราชการเป็นขุนนางในตำแหน่ง เจ้าเมืองตาก
พระยาตาก มีฝีมือในการรบแข้มแข็ง จึงถูกเกณฑ์มาช่วยรักษากรุงศรีอยุธยา แต่เกิดความท้อใจจึงนำพรรคพวกประมาณ 500 คน ตีฝ่ากองทัพพม่าออกไป พระยาตากได้รวบรวมหัวเมืองทะเลตะวันออก แล้วตั้งบที่มั่นที่เมืองจันทบุรี เพราะเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร เมื่อต่อเรือและรวบรวมผู้คนได้พร้อมแล้ว พระยาตากจึงได้เคลื่อนทัพเรือ มุ่งเข้าตีกองทัพพม่า ที่ค่ายโพธิ์สามต้น สุกี้พระนายกองได้ต่อสู้จนตายในที่รบ
หลังจากกอบกู้เอกราชได้แล้ว เจ้านายและข้าราชการ ได้พร้อมใจกันอัญเชิญให้พระยาตาก ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 4 แต่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกว่า พระเจ้าตากสิน หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี
การรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และการขยายอาณาจักร
พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราช และรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น โดยใช้เวลาเพียง 3 ปี สาเหตุที่พระเจ้าตากสินมหาราช สามารถกอบก้เอกราชและรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่นได้ เนื่องจาก
พระปรีชาสามารถในการรบ พระปรีชาสามารถในการผูกมัดใจคน ทหารของพระองค์มีระเบียบวินัย กล้าหาญหลังจากกอบกู้เอกราช รวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ไทยต้องทำสงครามกับพม่า เพื่อป้องกันอาณาจักรอีกถึง 9 ครั้ง โดยสามารถป้องกันบ้านเมืองไว้ได้สำเร็จ
การขยายอาณาจักร
หลังจากเหตุการณ์ภายในกรุงธนบุรีสงบเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเริ่มขยายอาณาเขตไปยังประเทศใกล้เคียง ดังนี้
การขยายอำนาจไปยังเขมรอาณาเขตประเทศไทยในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน มีดังนี้
ทิศเหนือ ได้ดินแดนเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์