จอมนางแห่งราชสำนักไทย คนที่4
"คุณหญิงน้อย หน่อเนื้อเชื้อพระเจ้าตาก"
จากภาพคือ คุณหญิงน้อย และพระราชโอรสทั้ง2 คือ พระองค์เจ้านพวงศ์และพระองค์เจ้าสุประดิษฐ์
ด้านล่างคือวัดดตรีทศเทพ
เมื่อเจ้าฟ้าชายฉิม(รัชกาลที่2)สวรรคต ตามกฎมณเฑียรบาลแล้วเจ้าฟ้าชายมงกุฎ หรือที่ชาววังเรียกว่าทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ ผู้เป็นพระราชโอรสองค์โตที่ประสูติจากเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดผู้เป็นอัครมเหสีสมควรที่จะได้เสวยราชสมบัติขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อไป แต่ในขณะนั้นเจ้าฟ้าชายมงกุฎเพิ่งจะโตเป็นหนุ่มยังไม่มีประสบการณ์ในงานราชการ จึงไม่สามารถขึ้นเสวยราชย์ได้ เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดจึงนำพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ไปมอบให้แด่พระองค์เจ้าชายทับ พร้อมกับตรัสว่า "พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว น้องชายเจ้ายังเล็ก(หมายถึงเจ้าฟ้ามงกุฎ) ปกครองบ้านเมืองไม่ได้ เจ้าจงรับราชการเป็นพ่ออยู่หัวปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเถิด” พระองค์เจ้าทับนี้เป็นพระราชโอรสองค์โตในรัชกาลที่2แต่ประสูติจากพระสนม พระองค์เจ้าชายทับมีพระชันษาห่างจากเจ้าฟ้าชายมงกุฎเกือบ20ปีช่วยราชการพระเจ้าอยู่หัวมานาน จึงขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่3ต่อไป
ก่อนพระองค์เจ้าชายทับจะขึ้นครองราชย์ ขณะนั้นเจ้าฟ้าชายมงกุฎเจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่มรูปงามปรากฏว่าพระองค์ทรงมีใจปฏิพัทธ์ต่อหญิงสาวคนหนึ่งผู้เป็นหน่อเนื้อเชื่อพระเจ้าตาก นามว่า”คุณหญิงน้อย”ซึ่งในขณะนั้นเปรียบดั่งดรุณีแรกรุ่น ไม่นานนักเจ้าฟ้าชายมงกุฎจึงรับคุณหญิงน้อยมาเป็นหม่อม เสมือนเป็นรักแรกของพระองค์ เมื่อเจ้าฟ้าชายมงกุฎมีพระชันษาครบ21ปีจึงเข้าผนวชตามโบราณราชประเพณี และเมื่อพระองค์เจ้าชายทับเสวยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่3 ทำให้เจ้าฟ้าชายมงกุฎต้องผนวชต่อด้วยเหตุผลในหลายๆประการ
ทำให้ชีวิตของหม่อมน้อยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะต้องทำหน้าที่แม่คอยเลี้ยงดูพระโอรสทั้ง2ด้วยความลำบากอย่างโดดเดี่ยวเสมือนขาดคู่ชีวิต หม่อมเฝ้าคอยการกลับมาของเจ้าฟ้าชายมงกุฎอย่างใจจดจ่อและมีความหวัง เพราะใครจะไปรู้ว่าเจ้าฟ้าชายมงกุฎจะผนวชนานถึง27ปี เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่3สวรรคตลง เจ้าฟ้าชายมงกุฎจึงทรงลาผนวชขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 นามว่าพระจอมเกล้า ซึ่งเป็นธรรมเนียมปกติที่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่มักจะนำธิดาของตนเข้าถวายตัวเป็นสนมเจ้าจอมเพื่อหวังให้ลูกและครอบครัวมีความมั่นคง ซึ่งสนมแต่ละคนก็ล้วนแต่ยังสาวยังสวย ต่างจากหม่อมน้อยที่ในขณะนั้นก็มีอายุเกือบจะ50เข้าแล้วจึงทำให้ไม่เป็นที่โปรดและไม่อยู่ในสายพระเนตรอีกต่อไป
ความเสียใจต่างๆจึงสั่งสมขึ้นกลายเป็นความเจ็บปวดภายในใจ ตลอดอับจนหมดหนทางที่จะทำให้สวามีกลับมามีความสัมพันธ์ดังเดิม จนทำให้คุณหญิงน้อยซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าจอมมารดาน้อยได้กระทำการไม่บังควรขึ้นคือ ค่ำวันหนึ่งในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4เสด็จพระราชดำเนินทางเรืออยู่นั้นก็มีเรือเก๋งลำหนึ่งพายตามขึ้นมาตีเสมอเรือพระที่นั่ง พระเจ้าอยู่หัวจึงคิดว่านางข้าหลวงของพระนางเจ้ารำเพย(พระมเหสี)นำเสด็จเจ้าฟ้าหญิงตามมาหาที่เรื่อพระที่นั่ง พระองค์จึงร้องเรียกถามไปว่า”เรือใครรึนั่น” มีม่านบังมิดชิด แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาหาพระองค์ จะมีก็แต่เสียงหัวเราะตลกขบขันของพวกผู้หญิงดังออกมาพร้อมกับเสียงเยาะเยิ้ยหลอกลิงสนุกปาก ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงโกรธ ถึงกับจะคว้าปืนไปยิงก็กลัวจะโดนคนอื่น จึงให้ตำรวจหลวงหลวงตามไปจับ ไร่กันไปมาจึงจับได้แล้วทราบว่าเป็นเรือของฝ่ายในที่มีเจ้าจอมมารดาน้อยและข้าหลวงของท่านอยู่ภายใน
พระเจ้าอยู่หัวจึงสั่งให้พนักงานจับกุมตัวเจ้าจอมมารดาน้อยไปขังไว้ในวังหลวงก่อน จากนั้นมาก็ไม่ปรากฏความเป็นมาของเจ้าจอมท่านนี้อีกเลย นับได้ว่าคุณหญิงน้อยแทบจะเป็นหญิงเดียวในประวัติศาสตร์กล้าทำผิดกฏที่ร้ายแรงเสี่ยงต่อการถูกประหารชีวิต แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่ท่านทำลงไปนั้นก็มีเเค่เหตุผลเดียว คือ "อยากให้คนที่เรารักสนใจแล้วเห็นเราอยู่ในสายตาบ้างเพราะท่านคือ"เมียเอก!"จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตศพของท่านเจ้าจอมถูกปลงในสวนหลังวังริมครองบางลำพู พระโอรสของท่านจึงสร้างพระอารามขึ้นและสร้างเจดีย์ที่ปลงศพไว้เป็นอนุสรณ์ วัดแห่งนี้ก็คือ “วัดตรีทศเทพ”นั่นเอง พระราชโอรสของพระองค์เป็นต้นราชสกุล นพวงศ์ ณ อยุธยา และ สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา
ที่มา: คลังประวัติศาสตร์ไทย