ความรู้เรื่องมุก

 

 

 

 

 

 ไข่มุก (Pearl) มาจากภาษาละติน "pilula" แปลว่า ลูกบอล ในสมัยโบราณรู้จักไข่มุกในชื่อของ  มาร์กาไรต์ (Margarite) ซึ่งมาจากภาษากรีก Margaritafera ชื่อนี้หมายถึงหอยที่มีมุกฝังอยู่ ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ในสมัยก่อนถือว่าไข่มุกเป็นของที่มีค่าสูงเหมาะสำหรับชนชั้นที่อยู่ในตระกูลสูงเท่านั้น ชาวฮินดูถือว่าเป็นอัญมณีแห่งความมั่งคั่งสมบูรณ์ สีสันต่าง ๆ ของไข่มุกยังแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ ออกไปอีกคือ ไข่มุกขาว เป็นสัญลักษณ์ของความมีอุดมคติหรือความเป็นเลิศ ไข่มุกดำ หมายถึงปรัชญา ไข่มุกสีชมพู หมายถึงความสวยงาม ไข่มุกสีแดง เป็นสัญลักษณ์แห่งสุขภาพและพลัง ส่วนไข่มุกสีเทา เป็นเครื่องหมายแห่งความดูถูกดูแคลน

ประเภทของไข่มุก

ไข่มุกธรรมชาติ (Natural Pearl)

 

ไข่มุกธรรมชาติเป็นไข่มุกที่เกิดจากการที่มีวัสดุชิ้นเล็กๆ เช่น เม็ดทราย หรือหิน เล็ดลอดเข้าสู่ภายในของเปลือกหอยโดยความบังเอิญ หรือจากธรรมชาติกระทำ จากนั้นตัวหอยจะเกิดความระคายเคืองภายในตัวเอง โดยกลไกลของตัวหอยจะปกป้องและสร้างชั้นของ เนเคอร์ (nacre) เพื่อห่อหุ้มสิ่งแปลกปลอมนั้นให้มีความหนาซ้อนกันมากขึ้นเรื่อยๆ การซ้อนของชั้นเนเคอร์ จะมีลักษณะเป็นชั้นคล้ายกับหัวหอมล้อมรอบวัสดุแปลกปลอมที่อยู่ตรงกลางไข่มุกธรรมชาติจะมีรูปร่างที่หลากหลายขึ้นอยู่กับรูปทรงดั้งเดิมของวัสดุแปลกปลอมที่เข้าไป ไข่มุกธรรมชาติมักได้รับการพิจารณาว่าเป็นไข่มุกที่หายากและค่อนข้างแพง โดยทั่วไปมักซื้อขายกันเป็นน้ำหนักหน่วยกะรัต แหล่งกำเนิดที่สำคัญของไข่มุก คือ อ่าวเปอร์เซีย ศรีลังกา ออสเตรเลีย ตาฮิติ และทะเลใต้

 

 

ไข่มุกเลี้ยง (Cultured Pearl)

 

ไข่มุกเลี้ยงมีลักษณะของการกำเนิดเช่นเดียวกันกับไข่มุกธรรมชาติ แต่เป็นกรรมวิธีที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้ทำ โดยการที่ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือค่อยๆ เปิดฝาเปลือกหอยออกและจากนั้นนำวัสดุชิ้นเล็ก เช่นลูกปัดกลม ใส่ลงไปภายในและจากนั้นก็นำหอยไปเลี้ยง โดยคอยดูแลสภาพแวดล้อม และความสะอาดของเปลือกหอย เมื่อเวลาผ่านไปวัสดุแปลกปลอมนั้นจะถูกเคลือบด้วยชั้นเนเคอร์ ซึ่งความหนาของชั้น เนเคอร์นี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของเปลือกหอยที่ถูกสร้างขึ้นและชนิดของแหล่งน้ำที่หอยนั้นอาศัยอยู่ และระยะเวลาของวัสดุที่อยู่ภายในเปลือกหอยก่อนการเก็บเกี่ยว หากชั้นเนเคอร์มีการเพิ่มความหนาขึ้นก็จะทำให้คุณภาพหรือความหนาของไข่มุกเพิ่มขึ้นด้วย มุกเลี้ยงส่วนใหญ่มักซื้อขายกันโดยวัดขนาดเป็นมิลลิเมตร แหล่งกำเนิดที่สำคัญของไข่มุกเลี้ยงคือ ญี่ปุ่น จีน และทะเลใต้

 

 

 

ประเภทของไข่มุกแบ่งตามพันธุ์แหล่งกำเนิด

มุกอะโกย่า (Akoya Pearl) 
    อะโกย่าเป็นไข่มุกชั้นดีที่พบในประเทศญี่ปุ่น และเป็นไข่มุกที่แวววาวที่สุด เมื่อเทียบกับไข่มุกประเภทอื่นๆ ไข่มุกอะโกย่าจะดูเหมือนไข่มุกน้ำจืดมาก แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบใกล้ๆกันแล้ว ก็จะเห็นถึงความแตกต่างชัดเจน นั่นคือไข่มุกอะโกย่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า, ผิวเรียบกว่า, รูปร่างกลมกว่า และมีความเปล่งประกายแวววายมากกว่าไข่มุกน้ำจืด 

 

 

 

 

มุกขาวทะเลใต้ (White South Sea Pearl)

 มุกขาวทะเลใต้เติบโตในภูมิประเทศแบบทรอปิคอล ร้อนชื้นและแบบกึ่งทรอปิคอลในแถบ ออสเตรเรีย, พม่า, อินโดนีเซียและประเทศในแถบแปซิฟิค มีขนาดตั้งแต่ 10 มม. จนถึง 20 มม. ราคาค่อนข้างสูงเพราะค่อนข้างหาได้ยากและมีขนาดใหญ่

 

 

 

มุกตาฮิติ (Tahitian Pearl)

มุกตาฮิติเป็นมุกขนาดค่อนข้างใหญ่ที่พบในหมู่เกาะพอลินิเชีย ประเทศฝรั่งเศส เป็นมุกที่มีความสวยงามและมีสีสันที่พิเศษคือสีเทาอ่อน สีดำ จนไปถึงสีเขียวและสีม่วง ด้วยขนาดและสีสันที่แปลกแตกต่าง ทำให้มุกตาฮิติมีราคาสูงมาก

 

 

 

รูปนี้ของจีนนะครับ

<<<ตัวอ่อนมุกน้ำจืดครับ

นักวิจัยไทยสำเร็จนำตัวอ่อนหอยมุกน้ำจืด เลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ครั้งแรกในโลก

มุกน้ำจืด (Freshwater Pearl)

มุกน้ำจืดจะพบได้ในบริเวณชายหาดและแม่น้ำทั่ว ๆ ไปทุกแห่งในโลก สามารถเพาะเลี้ยงได้ง่ายในประเทศจีน, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศไทย ด้วยความแวววาวที่ด้อยกว่ามุกน้ำเค็ม มุกน้ำจืดจึงมีราคาที่ถูกกว่า ประกอบด้วยรูปร่างลักษณะที่หลากหลายและสีสันทำให้มันเป็นที่นิยมอย่างมากในหลายปีที่ผ่านมา

 

 

 

มุกมาบิ (Mabe Pearl)

 มุกมาบิ คือไข่มุกครึ่งซีกที่เติบโตอยู่กับเปลือกหอยมุก มันจะไม่เติบโตอยู่ในตัวหอยมุก จึงทำให้มีลักษณะเป็นเพียงครึ่งซีก เหมาะที่จะนำมาทำต่างหูและแหวนที่ด้านหลังแบนและเรียบ

 

 

วิธีเลือกไข่มุก

1.หัวใจความงามของไข่มุก อยู่ที่ความวาวหรือลัสเตอร์ (LUSTER) ดังนั้นไข่มุกจึงต้องมีประกายมันวาว ยิ่งวาวมากเท่าไหรยิ่งดีเท่านั้น วิธีดูความวาวอย่างง่าย ๆ คือนำมุกมาส่องดูหน้าเรา เหมือนเรากำลังส่องกระจก หากเราเห็นหน้าเราชัด แปลว่ามุกเม็ดนั้นมีความวาวสูง แต่หากเห็นเบลอ ๆ ก็หมายความถึงความวาวที่ด้อยกว่า

2.ผิวไข่มุกต้องเรียบ ไม่มีรอยโป่ง ขรุขระ หรือถ้ามีก็ขอให้อยู่ในตำแหน่งที่ลับตา อาจซ่อนตำหนิไว้ด้านหลังตัวเรือน

3.สีสัน ของไข่มุกนั้นมีหลากหลาย ทั้งสีขาว สีขาวอมชมพู สีเงินยวง สีเหลืองนวล สีทอง สีเทา สีเขียว สีดำ สีดำประกายเขียว สีดำประกายหลากสี เป็นต้น ชอบสีใดก็เลือกสีที่ถูกใจเท่านั้นเอง แต่ถ้าคิดถึงประโยชน์ในการใช้สอยว่าคุ้มค่า คุ้มเงินที่สุด ก็ควรเลือกสีขาวเพราะสามารถใช้สอยได้ทุกเวลา ทุกโอกาส กับทุกแบบทุกสีสันของเสื้อผ้าได้อย่างดีที่สุด ส่วนท่านที่มีเงินทองเหลือเฟือและรักไข่มุกเป็นพิเศษ จะสะสมไข่มุกทุกสีทุกรูปทรง ก็ย่อมจะมีความสุขกับสีสันหลากหลายที่นุ่มนวลงดงาม

4.รูปทรงไข่มุกที่นิยมกันมากที่สุด คือ กลม แต่ไข่มุกรูปทรงอื่น ๆ เช่น รูปทรงหยดน้ำ ทรงบาร็อค มุกซีกรูปร่างต่าง ๆ หรือทรงแปลก ๆ เช่น เป็นชิ้นเป็นกิ่งคล้ายต้นไม้ กิ่งไม้ ฯลฯ ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยเช่นกัน 

แต่ถ้าเลือกไข่มุกทรงกลมก็จะสามารถใช้สอยได้นาน ไม่ล้าสมัยหรือเบื่อง่าย เหมาะกับเครื่องแต่งกายทุกแบบ ซึ่งคุ้มค่าในการใช้สอยมากที่สุด ส่วนไข่มุกที่มีรูปทรงแปลกควรๆ ได้รับการออกแบบที่เก๋ไก๋ จะยิ่งช่วยส่งให้ไข่มุกเม็ดนั้นดูดี สวยงามมากยิ่งขึ้น เมื่อประดับเคียงคู่กับเครื่องแต่งกายที่ “เข้ากัน” ก็จะสวยเก๋ แปลกตา 
 

วิธีการรักษาให้ไข่มุกอยู่คงทน 

ควรไว้ให้ไกลห่างจากสารเคมีทุกชนิดด้วย เช่น น้ำหอม สเปรย์ ผงซักฟอก ฯลฯ ถ้าจะทำความสะอาดก็ให้ล้างด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ และเจือจางมาก ๆ จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่าจนสะอาดดี ใช้ผ้านุ่ม ๆ ซับให้แห้ง ห้ามเช็ด ถูแรง ๆ เพราะฝุ่นละอองเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในผ้าที่ตาเปล่าเรามองไม่เห็นจะไปขูดให้มุกเป็นรอยได้

(มีอะไรก็แนะนำเข้ามาได้เลยนะคร๊าบบ)

ที่มา:
Credit: http://board.postjung.com/753399.html
19 มี.ค. 57 เวลา 10:15 4,338 80
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...