เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก efhmeris.blogspot.com
ภรรยานายพอล วีคส์ หนึ่งในผู้โดยสาร MH370 เปิดใจ ยังรอการกลับมาของสามี เผยก่อนเดินทางสามีถอดแหวน-นาฬิกาให้ กำชับเก็บไว้ให้ลูกเผื่อกรณีเกิดอะไรขึ้นกับเขา
การตามหาร่องรอยของเครื่องบินของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม เป็นต้นมา ท่ามกลางแรงใจของคนทั่วโลกที่ติดตามข่าว ขอให้ได้พบเครื่องบินลำดังกล่าวในเร็ววัน แต่ก็คงไม่มีใครใจจดใจจ่อกับการตามหาร่องรอยของเครื่องบินได้มากเท่ากับครอบครัวของผู้โดยสารบนเครื่องบิน ที่ยังคงตั้งความหวังและรอคอยการกลับมาของบุคคลผู้เป็นที่รักอยู่อย่างทรมานใจ
วันที่ 11 มีนาคม 2557 เว็บไซต์นิวยอร์กเดลี่นิวส์ เปิดเผยเรื่องราวของครอบครัวของผู้โดยสารบนเครื่องบินบางส่วน ที่ยังคงรอการกลับมาของผู้เป็นที่รัก หนึ่งในนั้นคือนางดานิกา วีคส์ ภรรยาวัย 39 ปี ของ นายพอล วีคส์ วิศวกรเครื่องยนต์ชาวออสเตรเลีย ที่เดินทางด้วยเที่ยวบิน MH370 มุ่งหน้าไปกรุงปักกิ่ง เพื่อต่อเครื่องไปยังมองโกเลีย ซึ่งเขาเพิ่งได้งานใหม่ที่นั่น ตามแผนการเดิมแล้วหลังจากไปจัดการเรื่องงานใหม่ พอลก็จะกลับมาหาครอบครัวที่ออสเตรเลียในเดือนถัดไป แต่ตอนนี้ ดานิกา ไม่รู้เลยว่าจะต้องรอคอยการกลับมาของสามีอีกนานเท่าไร
นางดานิกา กล่าวว่า ก่อนไปพอลยังได้ถอดแหวนและนาฬิกาที่เขาใส่เป็นประจำไว้ให้เธอ บอกว่าให้เก็บไว้ให้กับลูกชายคนโตวัย 3 ขวบ และคนเล็กวัย 11 เดือน เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ลูกจะยังได้มีของขวัญจากพ่อ และในช่วงเช้าของวันที่ 8 มีนาคม ก็มีข่าวว่าเที่ยวบินที่สามีของเธอโดยสารไปหายไปอย่างไร้ร่องรอยขณะบินอยู่เหนือทะเลจีนใต้
"ฉันทิ้งความหวังไม่ได้ ฉันอยากจะเห็นเขาเดินผ่านประตูเข้ามา อยากจะกอดเขาอีกสักครั้ง ..ฉันยังเห็นเขาอยู่ทุก ๆ ที่ในบ้านของเรา" นางดานิกาเล่าปนสะอื้น ขณะให้สัมภาษณ์กับรายการข่าว 9News ของออสเตรเลีย นอกจากนี้เธอยังบอกว่าสามีได้นำรูปครอบครัวเก็บลงกระเป๋าเดินทางไปด้วยหลายใบ
ทางด้านน้องสาวของนายพอล ก็ยังรอคอยและหวังว่าพี่ชายจะยังปลอดภัยดีอยู่ที่ไหนสักแห่ง"เราเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าที่ข่าวรายงานเลย" ทั้งนี้ ครอบครัววีคส์ ย้ายจากนิวซีแลนด์มาตั้งถิ่นฐานที่ออสเตรเลีย หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ซึ่งสร้างความเสียหายหนักแก่บ้านที่เมืองไครสต์เชิร์ช
นอกจากครอบครัวของนายพอลแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวของผู้โชคดีที่ตัดสินใจไม่เดินทางไปกับเที่ยวบินดังกล่าวด้วย ซึ่งก็คือ เกร็ก แคนเดลาเรีย เจ้าหน้าที่ของ IBM จากฮูสตัน สหรัฐฯ มีกำหนดการต้องไปพูดในการประชุมที่กรุงปักกิ่ง แต่ก็ปฏิเสธที่จะไปร่วมงาน ในเช้าวันเสาร์ที่มีข่าวการหายไปของเที่ยวบินดังกล่าว เขากำลังนั่งกินข้าวอยู่กับภรรยา และช็อกมากกับสิ่งที่ได้ยิน
แม้เกร็กจะโชคดี แต่ก็มี ฟิลิป วู้ด เพื่อนร่วมงานของเขา ซึ่งกลายเป็น 1 ใน 3 ผู้โดยสารชาวอเมริกันที่อยู่บนเที่ยวบินที่ยังไม่รู้ชะตากรรมนั้นด้วย
"ฉันไม่มีทางจะล้มเลิกความหวังเด็ดขาด มันยังพอมีโอกาสที่จะได้พบกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่.. จะต้องมีโอกาสอยู่แน่ ๆ" ซาราห์ บัค วัย 48 ปี ก็ยังคงรอคอยการกลับมาของคนที่เธอรักอย่างไม่อาจละทิ้งความหวังได้
อีกหนึ่งกลุ่มของผู้โดยสารที่สูญหายบนเที่ยวบินนี้ ยังมีพนักงานของบริษัท Freescale ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กึ่งตัวนำสำหรับฮาร์ดแวร์ ตั้งอยู่ที่รัฐเทกซัส อเมริกา อีก 20 ราย โดยเป็นชาวจีน 8 คน และมาเลเซียอีก 12 คน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่สัญญาณที่ขาดหายไปจากจอเรดาร์ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีสัญญาณหรือการติดต่อใด ๆ จากเที่ยวบิน MH370 การค้นหายังคงดำเนินต่อไปโดยได้รับความช่วยเหลือในการค้นหาทั้งทางน้ำและอากาศจาก 12 ประเทศ ทางด้านสหรัฐฯ ยังคงไม่ทราบถึงสาเหตุที่เครื่องบินลำดังกล่าวหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย และยังคงไม่ตัดกรณีการก่อการร้ายออกจากสาเหตุที่เป็นไปได้