ไปลอง 2014 ฮอนด้า โอดิสซีย์ ใส่มาครบ…จบในคันเดียว!!!

ไปลอง 2014 ฮอนด้า โอดิสซีย์ ใส่มาครบ…จบในคันเดียว!!!

 

ฮอนด้าเริ่มหันมาเอาจริงกับตลาดรถยนต์นำเข้าอย่างต่อเนื่องหลังประสบปัญหาอุทกภัยที่ผ่านมา และหนึ่งในรถยนต์ที่ฮอนด้าตัดสินใจเดินหน้าต่อก็คือรถยนต์สำหรับครอบครัวระดับหรูที่มีชื่อว่า ฮอนด้า โอดิสซีย์ คันนี้นี่เอง

โอดิสซีย์ใหม่มาพร้อมกับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ การออกแบบภายในใหม่ เครื่องยนต์ที่รองรับเชื้อเพลิงอี20 แถมด้วยอุปกรณ์ที่ติดตั้งกันมาแบบเต็มพิกัดทั้งในด้านความสะดวกและความปลอดภัย โดยเฉพาะในรุ่นท๊อปที่นำมาขับนั้น ฮอนด้าโฆษณาว่าเป็นรถที่ให้ความสะดวกสบายระดับเฟิร์สคลาส แม้จะต้องจ่ายถึง 2.95 ล้านบาทก็ยังถือว่าพอรับได้

หรือหากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เบาะกัปตันที่แถว 2 ที่ปรับรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย ไม่อยากได้ไฟหน้าแอลอีดี ไม่อยากได้ซันรูฟ ไม่อยากได้ระบบทางด้านความปลอดภัยที่เทียบชั้นกับรถยุโรปชั้นดีหลาย ๆ รุ่นได้ แต่อยากได้รถที่บรรทุกได้ถึง 8 นั่งแทนเพื่อขนคนเพิ่มได้อีกสัก 1 คน ก็สามารถประหยัดอีก 2 แสนบาท แล้วควัก 2.75 ล้านบาทไปจ่ายในรุ่นธรรมดาได้ โดยยังได้เครื่องยนต์สมรรถนะเท่าเดิม

ถ้าคุณเคยลองขับโอดิสซีย์รุ่นเดิมแล้วรู้สึกว่ามันไม่ปราดเปรียว เครื่องยนต์ตอบสนองแบบเฉื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ อุปกรณ์ให้มาแบบกั๊ก ๆ แถมยังแพงเพราะดูเป็นรถจากญี่ปุ่นยุคเก่า ขอให้ลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปเสียก่อน แล้วลองเดินผ่านประตูเลื่อนบานหลังเข้ามานั่งเล่นบนกัปตันซีท ใช่แล้วครับ ผมกำลังบอกว่าประตูเลื่อน มันทำให้รถดูหรูหราขึ้นมาทันทีเลยใช่หรือไม่

โอดิสซีย์ใหม่ที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นนี้มีการพัฒนาขึ้นไปเทียบชั้นเหล่าบรรดารถตู้หรูหราของค่ายคู่แข่งหลายจุด เอาแค่รูปลักษณ์ภายนอก การติดตั้งประตูเลื่อนซึ่งถือเป็นครั้งแรกของรถรุ่นนี้ ก็ทำให้รถน่าใช้ขึ้นอีกเป็นกอง แถมการออกแบบก็ไม่ได้ดูตันทึบเป็นรถครอบครัวอย่างเดียวเหมือนรุ่นก่อน ๆ ที่ผ่านมา

ต้องขอบคุณแนวทางการออกแบบรถยนต์ของฮอนด้าในยุคใหม่ ๆ ที่เริ่มเอาใจวัยโจ๋มากขึ้น ถามว่ามันลงตัวหรือยัง ผมก็คงอาจจะส่ายหัวเป็นคำตอบ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นมาก โดยเฉพาะแถบโครเมียม 4 แทบที่ด้านหน้า ที่ไล่กับกรอบโคมไฟแบบโปรเจกเตอร์คู่ ที่เป็นไฟแอลอีดีเสียด้วยในรุ่นนี้ ก็ถือว่าทำให้รถหน้าตาน่าเบื่อในรุ่นเดิมถูกลบเลือนไปได้

ด้านล่างของกันชนเป็นที่วางของไฟตัดหมอก ถูกวางตำแหน่งเอาไว้สวยงามลงตัว มัดกล้ามของตัวรถเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่กันชนหน้า พื้นที่ผิวด้านข้างทั้งหมด ไล่ไปจนถึงฝากระโปรงหลัง โดยเส้นมัดกล้ามด้านบนยังสะบัดไปต่อที่โคมไฟท้ายแบบแอลอีดี ทำให้ตัวรถดูหน้าตาไม่จืดชืดเกินไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดการออกแบบภายนอกที่ฮอนด้าเรียกว่า Solid Streamline

ประตูสไลด์ที่ให้มานั้น สามารถควบคุมได้ทั้งจากปุ่มควบคุมภายในตัวรถหรือจะควบคุมที่รีโมทคอนโทรลเลยก็ได้เช่นเดียวกัน ในรุ่นท๊อปยังแถมซันรูฟให้กับเจ้าของรถพร้อมด้วยระบบเปิด-ปิดด้วยการสัมผัสเพียงครั้งเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการใส่อุปกรณ์เข้ามาอย่างเต็มพิกัดไม่แตกต่างจากเวอร์ชั่นจำหน่ายในญี่ปุ่นแต่อย่างใด

เครื่องยนต์ที่นำมาติดตั้งรองรับเชื้อเพลิงอี20 ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเชื้อเพลิงมาตรฐานสำหรับฮอนด้าในประเทศไทยไปแล้ว รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ไอ-วีเทค 2.4 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดที่ 225 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที และเป็นเครื่องยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ที่พัฒนาเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดน้ำมัน

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้ได้เกียร์ที่มีน้ำหนักเบา รวมถีงพัฒนาระบบการเปลี่ยนเกียร์ให้สามารถตอบสนองการทำงานแบบเรียลไทม์ รวมถึงติดตั้งแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย และแน่นอนว่าระบบปิดและเปิดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติก็ต้องมา โชคดีที่รุ่นนี้มีสวิทช์เปิด-ปิดมาให้ด้วย รวมถึงยังมีโหมดการขับขี่แบบอีคอนให้เลือกได้

ห้องโดยสารภายในออกแบบด้วยแนวคิดโมเดิร์นสูท ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในห้องสูทของโรงแรม ด้านหน้าของคอนโซลออกแบบมาอย่างทันสมัยลงตัว แม้จะติดตั้งระบบดิจิตอลเข้ามามากมายแต่ก็ไม่ได้เน้นความหวือหวามากนัก โดยรวม ๆ แล้วถือว่าเป็นรถที่คุมอารมณ์และบรรยากาศให้ยังเป็นรถยนต์สำหรับครอบครัวหรือสำหรับผู้บริหารเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

มิติห้องโดยสารภายในเพิ่มขึ้นในทุกมิติเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไฮไลท์อยู่ที่เบาะผู้โดยสารแถวกลางที่ปรับตำแหน่งไปมาได้ถึง 10 รูปแบบเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย ด้วยเบาะที่นั่งที่แยกจากกันเป็นอิสระ สามารถเลื่อนหน้า-หลัง ขยับเข้าชิดกันหรือถอยห่างจากกันก็ได้ จะติดนิดเดียวที่หากนั่งแถว 2 แล้วยึดขาไปเหยียดยาว ก็จะพบพื้นห้องโดยสารใต้เบาะข้างคนขับที่ดูเหมือนเป็นหลุมลงไปเล็กน้อย

ระบบปรับอากาศแบบ 3 โซนกระจายความเย็นอย่างทั่วถึงตัวรถแบบสบาย ๆ เพราะรถคันนี้ที่นำมาทดสอบไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสงแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในเรื่องของความเย็นระหว่างเดินทาง โดยแผงควบคุมทั้งหมดเป็นแบบสัมผัสแล้วที่แผงคอนโซลหน้า เบาะที่นั่งแถว 3 เตรียมไว้รองรับผู้โดยสาร 3 คน และสามารถเลือกพับแบบ 40:20:40 ได้ ในกรณีที่ต้องการปรับเบาะเพื่อบรรทุกสัมภาระ

อย่างที่บอกว่าในรุ่นท๊อปมีการติดตั้งอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมาให้เพียบ โดยหลัก ๆ ก็คือทัศนวิสัยของตัวรถที่ออกแบบมาอย่างดี ทำให้ขับและควบคุมรถได้สะดวกมากขึ้น รัศมีวงเลี้ยวแคบลงเหลือ 5.4 เมตร และทำให้การถอยเข้า-ออกไม่เป็นปัญหาด้วยระบบกล้องส่องภาพรอบทิศทาง ที่ทำงานผ่านกล้องที่ติดตั้ง 4 จุดรอบคัน ทั้งในขณะขับขี่และขณะจอด

โอดิสซีย์ยังมีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ที่เพียงแค่ทำตามที่รถแนะนำก็สามารถจอดรถได้อย่างไม่มีปัญหา ระบบเตือนมุมอับสายตาและระบบเตือนเมื่อรถยนต์เคลื่อนผ่านขณะถอย ที่เรามักจะเจอกันในรถยุโรปหรูก็มีติดตั้งมาให้พร้อม รวมไปถึงระบบส่องสว่างก็เตรียมการณ์ไว้ไม่ว่าจะเป็นไฟส่องสว่างเวลากลางวันหรือระบบไฟส่องสว่างด้านข้างที่ทำงานอัตโนมัติในยามกลางคืน

ในเรื่องของการขับขี่นั้น ขอบอกไว้ก่อนว่าผมเคยขับโอดิสซีย์รุ่นก่อนหน้านี้มาแล้วในช่วงเวลาไม่นานนักก่อนที่จะเปิดตัวรุ่นใหม่ในงานมหกรรมยานยนต์ปีที่แล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นรถที่ไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ยังเคยคิดหาข้อแก้ตัวให้เล่น ๆ ว่าก็ออกแบบมาเป็นรถครอบครัว ไม่น่าจะเอาไว้วิ่งเร็วอะไรมากมาย

แต่กับโฉมใหม่นี้ต้องบอกว่านอกเหนือไปจากหน้าตาที่โฉบเฉี่ยวขึ้นอย่างไม่ต้องนับแล้ว ในเรื่องของการขับขี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก โอดิสซีย์รุ่นนี้นั้น หากคุณเป็นคนเท้าหนักและพร้อมจะจ่ายค่าน้ำมันที่แน่นอนว่าต้องเพิ่มมากขึ้นตามการเหยียบคันเร่ง ตัวรถก็ให้การตอบสนองที่ดีแบบที่ไม่ทำให้หงุดหงิดในอารมณ์แต่อย่างใด

ตอนที่นำมาทำการทดสอบ ผมและผู้โดยสารรวม 5 ชีวิต พร้อมด้วยสมบัติส่วนตัวของผู้โดยสารทุกคน รวม ๆ กันแล้วก็น่าจะถ่วงรถอยู่พอสมควร แต่เครื่องยนต์รุ่นใหม่ให้การตอบสนองที่ไม่อืดอาด แม้จะวิ่งไล่ไปตามเส้นทางคดโค้งบนเขา หากรู้สึกว่ากำลังเครื่องยนต์ไม่พอก็ใช้แพดเดิลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์ดึงกำลังเครื่องยนต์มาได้อย่างต่อเนื่องและไหลลื่น

ระบบเบรกให้มาไว้ใจได้ ถ้าไม่ได้เป็นพวกเท้าหนัก เบรกแรง เบรกสั้น มั่นใจได้ 100% ว่าเอาอยู่ ความเร็วในการขับที่ไปสบาย ๆ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงห้องโดยสารมีการเก็บเสียงดี โดยเฉพาะเสียงลมปะทะด้านหน้านั้นจัดอยู่ในระดับเงียบจนผู้โดยสารหลับสบาย ขณะที่เรื่องของความนุ่มนวลก็ต้องบอกว่าสมราคา

ผมเองเป็นคนขับรถที่ไม่ค่อยต้องการตัวช่วยอะไรมากมาย แต่ยอมรับว่าของเล่นของฮอนด้าเยอะมากและก็น่าลองเล่นอย่างละนิดอย่างละหน่อยไปหมด สั่งงานด้วย Siri ของไอโฟนก็ทำได้แล้วนะครับรุ่นนี้ โดยรวม ๆ หากเป็นคนที่ขับรถไม่แข็งแล้วกลัวการขับรถใหญ่ โอดิสซีย์และระบบต่าง ๆ จะช่วยปลอบขวัญและดูแลความปลอดภัยของคุณตลอดการเดินทางได้ไม่ยาก

คำถามสุดท้ายก็คือรถคันนี้มีข้อเสียอะไร ผมมานั่งคิด ๆ ดู หากจะไม่เป็นการเกินไปก็คงต้องบอกว่าสนนราคาที่ปาเข้าไปจะ 3 ล้านนั่นล่ะครับ ปัญหาใหญ่สำหรับคนที่อยากจะเป็นเจ้าของสักคัน เพราะหากคุณมีปัญหาจ่าย นี่คือรถที่สมรรถนะดี สบายดีและสนุกดี ในการที่จะฝากชีวิตเอาไว้บนท้องถนนอันแสนจะวุ่นวายของประเทศไทย

ฮอนด้าออกแบบรถคันนี้มาทำให้ผมรู้สึกได้ว่าคนขับเอ็มพีวีไซส์ใหญ่ไม่จำเป็นต้องแก่ ไม่จำเป็นต้องครอบครัวจ๋า แต่อาจจะเป็นคนเพื่อนเยอะที่อยากจะพาเพื่อน ๆ ไปสังสรรค์ฮาเฮ หรืออยากได้รถที่ขนของก็ได้ ขนคนก็ดี เพือให้ใช้งานได้อย่างหลากหลายตามไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน

และตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของมินิแวนชั้นดี ที่เล่นกับโค้งบนถนนอย่างสนุกสนานที่ความเร็วปานกลาง และกินน้ำมันระดับ 10-11 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว!!!

ข้อมูลทางเทคนิค 2014 ฮอนด้า โอดิสซีย์ รุ่น 2.4อี

ราคา                      2.95 ล้านบาท

เครื่องยนต์              ไอ-วีเทค 2.4 ลิตร เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม

กำลังสูงสุด             175 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด           225 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที

ระบบส่งกำลัง          อัตโนมัติแบบซีวีที พร้อมแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย

ขอขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) สำหรับรถยนต์ทดสอบในครั้งนี้

ผู้เขียน golfautospinn พูดคุยกันได้ที่ pisan.i@icarasia.com หรือเฟซบุ๊ค Autospinn.Fan

ชมภาพ 2014 ฮอนด้า โอดิสซีย์ เพิ่มเติมได้ ที่นี่

 

Credit: http://www.autospinn.com/
12 มี.ค. 57 เวลา 18:27 1,346 1 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...