เรื่องบางเรื่องมันไม่น่าเกิดกับเราเลยทำไมเราถึงซวยขนาดเนี้หัดเขียนนะค่ะขอเล่าย้อนความไปเมื่อเกือบปีก่อนแล้วกันปกติเราจะอาศัยอยู่กับพ่อและน้องอีก 1คนซึ่งน้องเราเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะแรกเนื่องจากอยู่ดีดีเริ่มมีก้อนเนื้อขึ้นมาไม่ใหญ่มากเลยไปตรวจแล้วพบโรคก่อนเหตุการณ์นี้ทำให้เราเครียดแบบสุดๆ
เพราะด้วยอาชีพของเราทำงานในกองถ่ายเลิกดึกไม่ค่อยกลับบ้านค้างกองถ่ายบ่อยๆม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัวไม่ค่อยใส่ใจคนในครอบครัวเรื่องเก็บเงินนี่สมัยก่อนไม่มีเลยเที่ยวเล่นซื้อของใช้เสื้อผ้าปาร์ตี้บ่อยจนไม่มีเงินสำรองแอบโกรธตัวเองอยู่เหมื่อนกัน ถ้าย้อนเวลาได้คงจะไม่ทำตัวแบบนี้
และด้วยอาชีพของพ่อเราเป็นพนักงานส่งของก็ไม่ได้มีเงินเก็บเยอะแยะเค้าส่งลูก 2 คนเรียนสูงเป็นพ่อที่ทำให้เราภูมิใจแบบสุดๆมากถึงแม้ตัวเองจะยอมอดก็ไม่เป็นไรขอให้ลูกมีความสุขก็โอเคส่วนน้องเราเพิ่งเข้าเรียนมหาลัยเองค่ะเรากับพ่อพอเจอเรื่องโรคของน้องไปก็แบบต้องเก็บออมกันยกใหญ่เพราะค่าใช้จ่ายในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งนั่นสูงมากสิ่งที่ทำให้เราเครียดมากกว่าการเป็นโรคของน้องก็คือคำพูดของน้องเราที่
บอกว่า “หนูไม่เป็นไรมากพี่ไม่ต้องห่วงหนูดูแลพ่อให้ดีก็พอ” ฟังแล้วมันสะเทือนใจมากน้องเราดูพยายามสู้กับโรคแบบสุดๆสิ่งที่เรากับน้องทำเพื่อจะเยี่ยวยารักษาโรคนี้เริ่มจากหาข้อมูลเบื่องต้นเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งที่นอกเหนือจากทางการแพทย์ก็มีหลากหลายวิธีโดยข้อมูลที่เราหามาเป็นเรื่องการหาของกินโดยโรคนี้ถ้าเครียดมากหรือมีสิ่งกระตุ้นจะทำให้เกิดความเสื่อมต่อร่างกายต้องพยายามอย่าทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดหรือรสฝาดจนเกินไป ลดน้ำมันเยอะๆเราก็เลยให้น้องเลือกอาหารที่น้องชอบมาเพื่อจะได้หาให้ทานซึ่งก็มีข้าวปลานึ้งนมและพวกผักอีกมากมายเราเลยหาข้อมูลว่าของที่น้องชอบมีอะไรช่วยรักษาโรคได้มั๊ยซึ่งก็เจอข้าวหอมนิลว่ามีผลในการต่อต้านรักษาโรคมะเร็งเบื่องต้นและราคาไม่สูงมากเรากับพ่อก็พอซื้อไหวเลยหาซื้อมากินกันทุกวัน
กินทั้งรูปแบบข้าวเปล่าและรูปแบบที่เป็นนมเลยจะเห็นได้ว่าเรากับพ่อทำทุกวิถีทางเพื่อจะรักษาชีวิตน้องไว้เรากับพ่อเก็บเงินอย่างหนักเพื่อสักวันจะได้รักษาโรคนี้ให้หายขาดแต่แล้วก็เกิดเหตุแต่ไม่คาดคิดก็มาเกิดกับพ่อของเราพ่อเราส่งของดันเกิดอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตที่จังหวัดนนทบุรีเมื่อเรากับน้องทราบข่าวเราคิดเสมอว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี้ถึงต้องเกิดกับครอบเรา !!! เอาแต่โทษตัวเองว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดกับเราตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วหลังจากที่พ่อเสียไปซึ่งเราได้สัญญาในวันงานของพ่อว่าจะดูแลน้องให้ดีที่สุดซึ่งมาคิดดูแล้วก็รู้สึกแย่อดีตเราน่าจะมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่านี้น่าจะกลับมาดูแลคนที่บ้านจะได้รู้สึกไม่เสียใจที่เราได้อยู่กับคนครอบครัว
เลยอยากแชร์ให้ทุกคนอย่ารอให้มันเรื่องแบบนี้มันสายเกินไปดูแลเอาใจใส่ครอบครัวกันหน่อยก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้โดยตอนนี้เราได้ย้ายงานมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขาร้านขายน้ำแล้วทำให้มีเวลาในการดูแลน้องมากขึ้นซึ่งเร็วๆนี้จะต้องผ่านเหตุการณ์ร้ายๆของน้องสาวให้ได้