ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ประเด็น "แบ่งแยกดินแดน" ให้ประชาชนที่ขัดแย้งกันในขณะนี้แยกกันไปอยู่คนละพื้นที่ของประเทศ ต่างฝ่ายต่างปกครองกันเอง ใครชอบที่จะอยู่ฝั่งไหนก็ไปอยู่ฝั่งนั้น จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน
ความคิดเช่นนี้ถูกนำเสนอมานานแล้ว
ก่อนที่เสื้อเหลืองที่แปรมาเป็นม็อบห้อยนกหวีด ใช้ธงชาติไทยเป็นอาภรณ์ กับเสื้อแดงจะแตกแยกกันหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทำท่าจะไม่สามารถอยู่ร่วมแผ่นดินกันได้ในทุกวันนี้
เพียงแต่ว่าข้อเสนอเช่นนั้น ใครได้ฟังก็รู้ว่าเป็นการจินตนาการกันไปถึงความแตกแยกที่ไม่มีทางคลี่คลาย ซึ่งเอาเข้าจริงคนที่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นคงมีไม่กี่คน
คนไทยส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า ไม่มีทางที่จะแบ่งแยกประเทศกันอยู่ได้ การแบ่งแยกแผ่นดินเป็นเพียงความคิดที่เสนอเล่นกันไปตลกๆ ประชดประชันกันไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
แต่รู้สึกว่าถึงวันนี้ ความคิดที่จะแยกแผ่นดินกันอยู่ระหว่างสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันไม่ใช่เรื่องที่พูดล้อเล่นเสียแล้ว
อย่างน้อยมีความเคลื่อนไหวที่ทำท่าจะเอาจริงขึ้นมา
อาจจะเริ่มจากงานลั่นกลองรบของเสื้อแดงที่พูดถึงการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
อาจจะเริ่มจากการหยิบเรื่องนี้ไปโจมตีบนเวทีชุมนุม กปปส.เรียกร้องให้หน่วยงานด้านความมั่นคงไปเอาผิดคนที่คิดแบ่งแยกดินแดน
ท่าทีของทหารเองก็ดูจะหวั่นๆ กับประเด็นเหล่านี้อยู่ไม่น้อย
ซึ่งดูจากความเป็นไปโดยรวมแล้วน่ากลัวอยู่ เพราะเอาเข้าจริงแม้ไม่มีการประกาศแยกดินแดนอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติมีบางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นการไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้าไปในพื้นที่ตัวเอง
มีการเป่านกหวีดขับไล่ การห้ามนักร้องที่เลือกข้างไปแสดงในพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่ยืนอยู่อีกข้าง
เหล่านี้สะท้อนให้เห็นปัญหาการอยู่ร่วมกัน
แต่ที่น่าสนใจคือ เกือบทุกฝ่ายมุ่งโจมตีไปที่คนมีความคิดแบ่งแยกแผ่นดินกันอยู่
โจมตีเพื่อให้มีการปราบปรามเอาผิดคนเหล่านั้นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ถูก เพราะใครก็ตามคิดแบ่งแยกดินแดนย่อมถือว่าทำผิดกฎหมาย รัฐธรรมนูญเองยังกำหนดไว้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะแบ่งแยกไม่ได้
เพียงแต่ว่าคนที่มุ่งเอาเป็นเอาตายทางด้านกฎหมายกับคนที่เสนอความคิด "แยกกันอยู่เสียดีกว่า" อาจจะลืมคิดไปว่า ต้นเหตุของปัญหาจริงๆ ไม่ใช่อยู่ๆ เกิดคิดจะแยกแผ่นดินขึ้นมา
แต่เป็นการเริ่มจัดประเด็นแบบประชดประชัน เมื่อรู้สึกว่าตัวเอง พวกพ้องตัวเองถูกปกครองอย่างไม่เป็นธรรม เหมือนคนที่มีสิทธิไม่เท่าเทียมกัน การใช้อำนาจจัดการแบบสองมาตรฐาน มีฝ่ายหนึ่งถูกกระทำตลอด แต่อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่มีความผิด
การแสดงท่าทีที่หมิ่นแคลน ไม่ให้ความเท่าเทียมกันในเรื่องศักดิ์ศรี
บังคับใช้กฎหมายให้รู้สึกว่าถูกไล่ล้าง ปราบปรามอย่างไม่เป็นธรรม
เริ่มจากการประชดประชันความที่รู้สึกว่าถูกกระทำเช่นนี้
แต่แทนที่ฝ่ายที่กระทำจะได้สำนึกว่า หากอยู่ร่วมกันแบบนี้มีปัญหาแน่
กลับเพิ่มความรุนแรงของความไม่เท่าเทียมกันหนักขึ้น มีการใช้อำนาจอย่างชัดเจนว่าเลือกข้าง เป็นการจัดการที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกถึงการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมหนักขึ้น ชัดขึ้น
ที่สุดแล้ว ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้เกิดความคิดที่จะแยกกันอยู่ขึ้นมาจริงๆ
น่าอนาถตรงที่ควรจะแก้กันที่สาเหตุ ซึ่งหมายถึงการเลือกปฏิบัติอย่างไม่ชอบธรรม
กลับพุ่งตรงเข้าเล่นงานซ้ำกลุ่มคนที่น้อยเนื้อต่ำใจว่าตัวเองถูกกระทำ เหมือนจะไม่ให้มีที่ยืนในแผ่นดินนี้
หากขืนยังแก้ปัญหากันแบบนี้
ไม่เหลียวมองตัวเองว่า ใครกันที่สร้างเงื่อนไขการอยู่ร่วมกันไม่ได้ขึ้นมา
ไม่แก้ที่ความไม่เป็นธรรม ความสองมาตรฐาน การเลือกข้างอย่างแสดงออกชัด และใช้อำนาจอย่างไม่คำถึงหลักการที่ควรจะเป็น
จากการประชดประชัน ที่สุดแล้วความคิด "แยกกันอยู่ดีกว่า" จะกลายเป็นความรู้สึกจริงๆ
(ที่มา:มติชนรายวัน 2 มี.ค. 2557)