นายวิรัตน์ เตชะนิรัติศัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู ไลฟ์สไตล์ รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดในภูมิภาคอาเซียน มีประชากรที่ใหญ่กว่าตลาดไทยถึง 10 เท่า จึงเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุน หลังขยายธุรกิจ ทรูคอฟฟี่ ไปที่ลาวและกัมพูชา แล้วกระแสตอบรับดี จึงตั้งเป้าหมายใหม่ใน 5 ปี จะขยายสาขาให้ได้ประมาณ 300-400 สาขา เตรียมเปิดตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน ทั้งในรูปแบบของการบริหารจัดการเองและรูปแบบแฟรนไชส์

นายวิรัตน์ ระบุว่า หากไม่ผิดความคาดหมาย ภายในปีนี้อาจจะได้เห็นโฉมหน้าของ ทรู คอฟฟี่ ในปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และย่างกุ้ง ประเทศพม่า สำหรับมาเลเซียยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา สำหรับสัดส่วนของสินค้าใน ทรู คอฟฟี่ แบ่งเป็นกาแฟ 50% เครื่องดื่มอื่นๆ 20% เบเกอรี่ 15% และ สินค้าที่ระลึกอื่น 10% โดยอาหารเป็นส่วนที่ทำกำไร จึงอาจปรับสัดส่วนของเบเกอรี่เพิ่มขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ปัจจัยในการตัดสินใจลงทุน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางข้อกฎหมาย ทำเล วิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นแต่ละประเทศ โดยรสชาติของกาแฟต้องอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน และเนื่องจากกาแฟแต่ละชาติมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป จึงจำเป็นต้องมีการสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจในรสชาติของกาแฟระดับพรีเมี่ยม ดังนั้น บาริสต้า คนชงกาแฟของ ทรู คอฟฟี่ ไม่ว่าจะจากสาขาประเทศใดก็ตาม จะต้องเข้ารับการอบรมในประเทศไทยประมาณ 1 เดือน ก่อนปล่อยสู่ลงสนามจริง

ส่วนคู่แข่งรายใหญ่อย่างสตาร์บัคส์ ที่ถือส่วนครองตลาดนานาชาติในตอนนี้ ทาง ทรู คอฟฟี่ เองก็เตรียมแผนสู้ศึกกาแฟพรีเมี่ยม นานาชาติ ด้วยกลยุทธ์ส่งเสริมการขายช่วงเทศกาล (Seasonal) การทำรีวิวต่างๆ เพื่อให้เห็นการสื่อสารแบบ 2 ฝ่าย โปรโมชั่นใหม่ๆ การคิดค้นเมนูใหม่ๆ

MThai News