ตามหาพระศพราชินีที่สวยที่สุดของไอยคุปต์

ต้นปี 2546 นี้ วงการประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ ได้เปิดเผยข้อสันนิษฐานใหม่ อันน่าตื่นเต้นว่า มัมมี่นิรนาม 3 ร่างที่ค้นพบในสุสานหลวง แห่งหุบเขากษัตริย์ที่เมืองลักซอร์, อียิปต์ นั้น ร่างหนึ่ง น่าจะเป็นมัมมี่ของ เนเฟอร์ติตี ราชินีผู้มีบทบาทสำคัญองค์หนึ่ง ของอียิปต์ ซึ่งหลังสิ้นพระชนม์ พระศพของพระนาง ได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ


ในช่วง ศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล ฟาโรห์ผู้ปกครองอาณาจักรไอยคุปต์ทรงพระนามว่า อาเคนาเตน (Akhenaten) ระยะเวลา 17 ปี ที่ครองราชย์นั้น พระองค์ได้ปฏิรูปศาสนา และศิลปกรรมของอียิปต์อย่างมากมาย ก่อความระส่ำระสายให้แก่นักบวชดั้งเดิมจนกลายเป็นความโกรธแค้นอาฆาต ซึ่งบุคคลที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังฟาโรห์และมีอิทธิพลต่อราชวงศ์ไอยคุปต์ก็คือ พระมเหสีเอกของพระองค์ผู้มีพระนามว่า เนเฟอร์ติตี (Nefertiti)

ดังจะเห็นได้จากจิตรกรรมและประติมากรรมต่างๆในยุคนั้น ที่มีรูปพระนางเนเฟอร์ติตีปรากฏอยู่ร่วมกับพระรูปของอาเคนาเตนเสมอๆ จนบางครั้งแทบดูไม่ออกว่าองค์ใดคือกษัตริย์ องค์ใดคือราชินี

รูปโฉมของเนเฟอร์ติตี มีลักษณะเป็นสตรีเอวบาง แต่บั้นท้ายและสะโพกหนา ชุดที่พระนางสวมใส่ มักจะบางเบาโปร่งแสง ทำให้แลดูมีเสน่ห์ยั่วยวน จนได้รับสมญาว่า "พระพักตร์งาม ทรงความเบิกบาน เป็นผู้ให้ความสำราญหาใครเทียม"

ความงามของเนเฟอร์ติตีนั้น เป็นที่เลื่องลือว่า "งดงามที่สุดในโลก" สมกับพระนามเนเฟอร์ติตีที่แปลว่า "ผู้งดงามหมดจด"


พระนางทรงมีธิดากับอาเคนาเตนถึง 6 องค์ ซึ่งฟาโรห์ก็ทรงโปรดปราน รักใคร่ยิ่งนัก จนมีปรากฏในรูปส่วนใหญ่ ที่เป็นภาพฟาโรห์ ประทับอยู่กับมเหสี และธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง หรือหลายองค์ ในลักษณะธิดานั่งบนตักบ้าง คลอเคลีย อยู่บนตัวบ้าง ขอให้อุ้มบ้าง หรือมิฉะนั้นก็ยืนอยู่แนบข้างฟาโรห์ จัดเป็นภาพที่ออกจะผิดแผก ไปจากภาพชีวิตของฟาโรห์องค์อื่นๆ

บางคนกล่าวว่า เป็นการจัดฉาก โดยฝีมือของเนเฟอร์ติตี เพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นว่าฟาโรห์ทรงหลงใหลในมเหสีเอกองค์นี้เพียงใด


ก็น่าจะเป็นได้ เพราะนอกจาก เนเฟอร์ติตีแล้ว อาเคนาเตนก็ยังมีมเหสีรองที่สำคัญอีกคือ พระนางกิยา (Kiya) ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาของฟาโรห์องค์ต่อมา ที่โด่งดังทั่วโลก ตุตันคาเมน นั่นเองครับ

แม้ว่าชีวิตในวังจะมีความผาสุกดังที่เห็นในภาพเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่ นำมาซึ่งความวิบัติเสื่อมเสียให้แก่ฟาโรห์ และมเหสีในภายหลังก็คือ


ทั้งสองพระองค์ทรงนับถือบูชา ในเทพเจ้าอาเตน (Aten) ยิ่งนัก

แต่เดิมนั้น บรรดาประชากรอียิปต์ มีศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) โดยมีเหล่านักบวช เป็นผู้ดูแลทำพิธีในวิหารต่างๆ แต่อาเคนาเตน ได้นำเอาศาสนาพระเจ้าองค์เดียว (เอกเทวนิยม) คือ สุริยเทพอาเตน มายัดเยียด และได้ปฏิรูปศาสนา อย่างถอนรากถอนโคน อาทิ

หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ฟาโรห์ก็ ทรงมีบัญชาให้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ กลางดินแดนอียิปต์ระหว่างเมืองธีบิสกับเมมฟิส สำหรับการสักการบูชาเทพอาเตน โดยเฉพาะชื่อของนครนี้ คือ อาเคตาเตน (Akhetaten) แปลว่า "ขอบฟ้าแห่งเทพอาเตน" ทรงย้ายสมาชิกในราชวงศ์ ตลอดจนขุนนาง และบริพารใกล้ชิดไปอยู่ที่เมืองหลวงใหม่นี้ ใจกลางนครมีมหาวิหารสถิตเทพอาเตนกับมีพระราชวังหลวง โดยมีอาคารพักอาศัยของข้าราชบริพารอยู่รอบนอก มีสุสานของพระราชวงศ์อยู่ที่หน้าผานอกเมือง

แม้แต่พระนามเดิมของฟาโรห์คือ เอเมนโฮเทปที่ 4 ก็ยังทรงเปลี่ยนมาเป็น อาเคนาเตน ซึ่งแปลว่า "วิญญาณอันรุ่งโรจน์ของอาเตน"


เทพอาเตน มีสัญลักษณ์เป็นแผ่นกลมที่มีรัศมีแผ่ออกมาเป็นรูปมือเล็กๆ ซึ่งหมายถึงกำเนิดชีวิต หรือจะหมายถึงพลังแห่งสุริยเทพก็ได้

มหาวิหารทีฟาโรห์และมเหสีสร้างถวาย เทพอาเตนนั้น เป็นแบบวิหารสุริยโบราณที่ไม่มีหลังคา ปล่อยให้แสงแดดส่องลงมาได้เต็มที่

นอกจากจะคลั่งไคล้บูชาอาเตนเต็มที่แล้ว ฟาโรห์ยังกระทำยํ่ายีศาสนาเดิม โดยมีบัญชาให้ปิดวิหารเทพเจ้าอื่นๆ จนสิ้น ลบรูปสัญลักษณ์ต่างๆในวิหาร ริบข้าวของสมบัติต่างๆ ภายในวิหารแล้วนำเอารูปเทพอาเตน เข้าไปตั้งแทน เพื่อให้ราษฎรอียิปต์สักการบูชา


สร้างความโกรธเป็นเดือดเป็นแค้นแก่ นักบวชที่เคยมีอิทธิพลต่อจิตใจ ของชนอียิปต์อย่างมากมาย

ในปีที่ 1336 ก่อนคริสตกาล ฟาโรห์อาเคนาเตน สิ้นพระชนม์ แผ่นดินตกอยู่ในการปกครองของผู้สำเร็จราชการนาม เนเฟอร์เนเฟอรู อาเตน ซึ่งไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน บางคน กล่าวว่า เป็นลูกพี่ลูกน้องกับอาเคนาเตน ผู้มีนามว่า เสม็นคาเร แต่หลายคนกล่าวว่า เขามิใช่ใครอื่น

หากแต่เป็นมเหสีเอกเนเฟอร์ติตีนั่นเอง



เนเฟอร์ติตีนั้นไม่ปรากฏพระองค์ หรือมีบทบาทใดๆ ให้เห็นในช่วงท้ายๆ รัชกาลอาเคนาเตน จะเป็นด้วยเหตุผลใดไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าทรงรู้ดีว่าพระองค์นั้นมีส่วนร่วมกับฟาโรห์ทำลายล้างศาสนาเดิม และได้สร้างศัตรูไว้มากมาย จึงต้องทรงซ่อนเร้นและปกครองอียิปต์ต่อมาอย่างไม่เปิดเผยพระองค์

ในช่วงระยะเวลาอันสั้นราว 3 ปี ในฐานะผู้สำเร็จราชการนี้ ได้มีความพยายามที่จะประนีประนอมรื้อฟื้นการบูชาเทพเจ้าดั้งเดิมขึ้นใหม่ เพื่อบรรเทาความอาฆาตแค้นของศัตรู


หากแต่ไม่เป็นผล

การสิ้นพระชนม์ของเนเฟอร์ติตีเป็นเรื่องลึกลับ บางคนถึงกับอ้างว่า พระนางสิ้นพระชนม์ก่อนหน้า พระสวามีด้วยซํ้า

อย่างไรก็ตาม โดยที่มีผู้เกลียดชังมาก ทำให้ภาพของเนเฟอร์ติตีตามวัง และวิหารต่างๆ ถูกลบพระพักตร์ ออก อันเป็นการกระทำ ที่เกิดจากความเคียดแค้นอาฆาต ที่สะสมมานาน และโดยเหตุที่พระนาง มีใบหน้าที่สวยงามกว่านางใดในแผ่นดิน


ด้วยเหตุนี้เองที่ใบหน้า ของพระนางในรูปเขียนต่างๆ จึงถูกทำลายอย่างเฉพาะเจาะจง!

และแม้แต่มัมมี่ของพระนาง ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าอยู่หนใด!

จวบจนกระทั่งนักอียิปต์ วิทยาได้สันนิษฐานว่ามัมมี่ 1 ใน 3 ร่าง ที่พบในสุสานหมายเลข KV 35 แห่งหุบเขากษัตริย์ ใกล้เคียงกับสุสานของตุตันคาเมน นั่นน่าจะเป็นมัมมี่ของเนเฟอร์ติตีดังที่กล่าว ในเบื้องต้นนั่น

 


เหตุผลของการสันนิษฐานประมวลได้ว่า

มัมมี่ร่างนั้นมีคอเรียวยาวดุจหงส์ ซึ่งละม้ายกับรูปลักษณ์ของเนเฟอร์ติตีผู้งดงาม และอายุของมัมมี่นี้ก็อยู่ในยุคเดียวกับพระนาง

นอกจากนี้ ตลอดร่างของมัมมี่ก็ถูกทำลายเสียหาย เช่น ใบหูถูกเจาะ ศีรษะถูกโกน คิ้วถูกกดเป็นรอย ลำตัวมีริ้วรอย ซึ่งล้วนตรงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ต่อภาพเขียนทั้งหลายของพระนาง


และที่สำคัญคือ ได้พบวิกผมสไตล์นูเบียน ตกอยู่ใกล้ๆ กับมัมมี่ทั้ง 3 เป็นแบบวิกผมที่ เนเฟอร์ติตี และสมาชิกราชวงศ์ของเธอสวมใส่ อยู่เป็นประจำ!

ทำให้น่าเชื่อได้ว่า มัมมี่นี้ก็คือพระศพ ของพระนางเนเฟอร์ติตี ราชินีผู้มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะเมียและแม่นั่นเอง


และจากการสันนิษฐานว่า เป็นมัมมี่ของ เนเฟอร์ติตีผู้งามที่สุดในโลก โครงการหนึ่งของทีมงานศึกษาครั้งนี้ จึงมุ่งเน้นในการสร้างภาพดิจิตอล พระพักตร์ของเนเฟอร์ติตีจากโครงหน้าของมัมมี่นี้

ซึ่งจะได้ภาพราชินีอียิปต์ผู้ทรงโฉม ที่สุดจริงหรือไม่

Credit: นสพ.ไทยรัฐ และhttp://www.artsmen.net
14 เม.ย. 53 เวลา 00:33 4,244 9 1,112
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...