ตามไปดูสุสานพิลึก : ตายแล้วยังหรูอีก

ณ ใต้อารามนักบวชคาปูชิน แห่งโบสถ์ฟรานซิสกัน ของคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก ที่เมืองปาร์เลอโม (PARLEMO) เกาะซิซิลี อันเป็นเขตปกครองตนเอง ในอาณัติของอิตาลี มีสุสานใต้ดินประหลาดอยู่แห่งหนึ่ง ศพในสุสานที่นี่มิได้นอนเหยียดยาวแหงแก๋ปิดมิดชิดอยู่ในโลง แต่ศพจำนวนมากยังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง และยังคงสวมเครื่องแต่งกายเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตด้วย

บาทหลวงยืนเรียงแถวอยู่ในชุดนักบวช มีหมวกและผ้าคล้องคอตามสมณศักดิ์ ประสานมือ ค้อมหัวเหมือนจะทักทายผู้มาเยือน เหล่าทหารอยู่ในเครื่องแบบห้อยดาบอยู่ข้างกาย หญิงชายไฮโซอยู่ในชุดเลิศหรู ราวกับกำลังจะไปงานกาลาดินเนอร์ หรืองานลีลาศที่ไหนสักแห่ง ทารกน้อยในชุดเด็กอ่อนนอน อยู่ในเปลรายเรียงเคียงกันไป ส่วนที่โตขึ้นมาอีกนิด บ้างก็อยู่ในชุดกระโปรงบานขลิบลูกไม้ ยืนเข้าแถวเหมือนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล


แต่ไม่ว่าเครื่องแต่งกายจะงดงามเพียงใด ศพเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็เหลือแต่เพียงโครงกระดูกแห้งๆ ดวงตากลวงโบ๋ กรามมีลวดร้อยไว้หลวมๆ ให้กระดูกส่วนนั้นอยู่เป็นที่เป็นทาง ปากจึงอ้าค้างมาทางผู้ดูอย่างน่าสยองขวัญ

สุสานใต้ดินแห่งปาร์เลอโมนี้ประกอบด้วย ห้องโถงยาวที่เจาะลึกเข้าไป ในชั้นหินปูนใต้ดิน 4 ห้อง เรียงต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จัดวางศพตามเพศ และอาชีพ เริ่มจากห้องบุรุษ หักเลี้ยวไปสู่ห้องสตรี หักเลี้ยวอีกทีเป็นห้องบุคคลตามสาขาอาชีพ เช่น ทนายความ แพทย์ แล้วต่อด้วยห้องบาทหลวง โดยมีห้อง สำหรับบาทหลวงผู้มีสมณศักดิ์สูง แยกอีกห้องหนึ่งต่างหาก

นอกจากจะจัดวางตามเพศ และอาชีพแล้ว ศพในแต่ละห้องยังถูกแบ่งตามวัย และฐานะทางสังคม บางครั้งก็รวมถึงจำนวนเงิน ที่ญาติบริจาคทำนุบำรุงสุสานด้วย ศพที่เครือญาติยังแวะเวียน มาบริจาคและมาดูแล ก็อาจจะยังอยู่ในมุมที่โดดเด่น เสื้อผ้าได้รับการซ่อมแซม กระดูกยังอยู่เป็นที่เป็นทาง ส่วนศพที่ญาติๆ ล้มหายตายจากไปหมด ขาดการติดต่อและการบริจาค ก็อาจจะแขนขาร่วงหลุดโดยไม่มีใครเหลียวแล เสื้อผ้า เครื่อง ประดับก็หายไปบ้าง ถูกปล่อยกะรุ่งกะริ่งบ้าง และในที่สุดก็คงถูกโยนไปกองรวมๆ กันไว้ในซอกลึกมุมอับแห่งใดแห่งหนึ่ง


เฮ้อ! ตายแล้วยังไม่พ้นคำว่า เงิน เงิน และเงินนะนี่

ความเป็นมาของสุสานใต้ดินแห่งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อสุสานดั้งเดิมมีผู้มาใช้บริการจนเต็มเอี้ยด จึงต้องขยับขยายมาขุดสุสานใต้ดินแห่งใหม่ ศพแรกที่ได้มาใช้บริการก็คือ ภราดาซิลเวสโตร ดิ กับโบ (SILVESTRO DI GUBBIO) ซึ่งสิ้นชีวิตลงเมื่อปี ค.ศ.1599 จากนั้นมาอีกนับร้อยปี ศพของบาทหลวงแห่งนิกายคาปูชินก็ถูกนำมาเก็บรักษาไว้ในสุสานแห่งนี้

ซึ่งแต่เดิมก็สงวนไว้สำหรับนักบวชโดยเฉพาะ แต่ต่อมาหลวงพ่อคงจะทนอ้อนวอนจากบรรดาญาติโยมมิได้ จึงต้องอนุญาตให้บรรดาผู้มีอุปการคุณ ต่ออารามทั้งหลายนำศพบุคคลในครอบครัว (ย่อมรวมถึงตนเองด้วยแน่นอน) มาเก็บรักษายืนประชันโฉมกันในสุสานแห่งนี้ด้วย ซึ่งแน่ละ ผู้มีอุปการคุณเหล่านี้ก็ล้วนมั่งคั่งรํ่ารวย และอยู่ในวงสังคมชั้นสูงของซิซิลีกันทั้งนั้น จึงต่างแต่งตัวให้ญาติโยมของตนเต็มที่ คนดังที่เก็บร่างไว้ที่นี่ก็มี เวลาสเกซ (VELASQUEZ) จิตรกรชาวสเปน และเจ้าชายองค์หนึ่งแห่งตูนิเซีย


สุสานใต้ดินแห่งปาร์เลอโม เปิดบริการแก่ นักบวชคาปูชิน และอภิสิทธิ์ชนแห่งซิซิลี จนถึงประมาณปี ค.ศ.1920 รวมเวลา 300 กว่าปี และที่ต้องปิดบริการ ไปก็คงเป็น เพราะสถานที่เต็มเอี้ยด จนจะกลายเป็นชุมชนแออัดอยู่แล้ว ถึงขนาดที่บางศพที่มาทีหลัง ไม่มีที่ให้ยืนสบายๆ ต้องถูกแขวนไว้กับตะขอ บนผนังโน่น


ในอิตาลีนั้นก็มีตำนานเล่าถึงนักบุญ นักบวช หรือนางชีที่ตายแล้วไม่เน่าไม่เปื่อย เหมือนบรรดาเกจิอาจารย์ บ้านเราอยู่เนืองๆ เหมือนกัน ซึ่งมักเป็นไปโดยธรรมชาติ เนื่องจากสภาพอากาศทำให้ศพแห้งก่อนจะเน่าเปื่อย บุคคลผู้ไม่เน่าเปื่อยเหล่านี้ได้รับความนับถือศรัทธา ว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ บางร่างจึงถูกนำออกแสดงให้ประชาชนเคารพสักการะ

ต่อมาฝ่ายนักบวชจึงมีความพยายามรักษาศพให้เป็นมัมมี่ที่ไม่เน่าเปื่อย อย่างที่สุสานใต้ดินที่ปาร์เลอโมนี้กระบวนการทำศพเป็นมัมมี่ก็เพียงแต่ผึ่งศพ ให้แห้งบนตะแกรงที่ทำจากท่อเซรามิก จากนั้นจะมีวิธีอะไรอีกหรือไม่ ไม่เป็นที่เปิดเผย รู้แต่ว่าเมื่อศพแห้งได้ที่แล้ว ก็จะถูกนำไปแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วจัดวางรวมกับศพอื่นๆในชุมชนมัมมี่แห่งนี้



มัมมี่ส่วนใหญ่ในสุสาน ยังอยู่ในอิริยาบถของคนเป็น คุณผู้ชายยังยืนตัวตรงถือไม้เท้า คุณผู้หญิงก็สวมชุดผ้าไหมบ้าง ผ้าซาตินบ้าง มีเครื่องประดับงดงาม อย่างหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งตายด้วยวัยเพียงประมาณ 20 ปีเท่านั้น เธอเคยเป็นดาวดวงเด่นของซิซิลี เคยนำแถวลีลาศในวัง ศพของเธอยังคงสวมชุดขาวบริสุทธิ์ที่เคยสวม ในงานลีลาศครั้งนั้นอย่างครบถ้วน

รอบเอวเล็กคอดยังมีเข็มขัดคาด เท้ายังสวมรองเท้านิ่มสีขาว และข้างลำตัวยังมีนาฬิกาประดับอัญมณี ห้อยอยู่ประหนึ่งว่า สำหรับเธอแล้ว เวลาไม่มีที่สิ้นสุดฉะนั้น กระนั้น ดวงหน้าที่เคยงดงามก็ไร้ชีวิต ผิวที่เคยนวลผ่องกลับแห้งดำ และเหี่ยวหดเหมือนกระดาษไหม้ไฟ แก้มที่เคยเต่งตึงยุบหายไป ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มเหลือแต่หนังดำคลํ้า ฟันที่เคยเรียงสวยกลับเขยินออกมา นอกปากอย่างน่ากลัว จมูกเคยโด่งงามก็แหว่งโหว่ แต่บนศีรษะยังมีมาลัยดอกกุหลาบโรยสวมอยู่ และยังมีปอยผมแห้งๆขอดเป็นเกลียว ยาวรุ่ยร่ายลงมาถึงดวงตาที่กลวงโบ๋


อนิจจา วะตะ สังขารา!

อย่างไรก็ตาม มัมมี่ที่นี่มิได้สยองขวัญเสมอไป อย่างมัมมี่ท่าน รองกงสุลซิซิลี ประจำสหรัฐอเมริกา โจวานนี พาเทอร์นิติ (GIO-VANNI PATERNITI) ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 1911 นั้น เขายังคงสภาพเป็นสุภาพบุรุษ หนวดโง้งเรียว ที่เหมือนนอนหลับอยู่ แต่ที่งดงามที่สุด

ในสุสาน เห็นจะเป็นหนูน้อย โรซาเลีย ลอมบาร์โด (ROSALIA LOMBARDO) เด็กหญิง วัย 7 ขวบ ซึ่งเสียชีวิตในปี 1920 เธอนอนนิ่งอยู่ในโลงฝาแก้ว เหมือนกำลังหลับสบาย บนกลุ่มผมสีทองมีโบสีชมพูอ่อนคาด ดวงหน้าอ่อนเยาว์ยังคง เต่งตึงสะสวย แม้ขนตาก็ยังงอนยาวไม่เสื่อมสลาย เธอเป็นหนึ่งในมัมมี่ สภาพดีที่สุดในโลก

ศพของเธอจะผ่านกระบวนการอะไรมาบ้างนั้น เป็นความลับที่มีแต่ศาสตราจารย์ อัลเฟรโด ซาลาเฟีย (ALFREDO SALAFIA) ผู้ดองศพเธอเท่านั้นที่รู้ ซาลาเฟียเป็นชาวซิซิลี รํ่าเรียนทางเคมี และคิดค้นพัฒนานํ้ายาดองศพให้คงสภาพเดิมอยู่ได้นานแสนนาน ซาลาเฟียเคยดองศพนายกรัฐมนตรีของซิซิลี ฟรานเซสโก คริสปี (FRANCESCO CRISPI) ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 1905 อีก 5 ปีต่อมา โลงศพท่านนายกฯ ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งในงานฉลองเอกราชของซิซิลี ปรากฏว่าศพของคริสปีคงอยู่ในสภาพเดิมเมื่อ 5 ปีที่แล้วโดยไม่เปลี่ยนแปลง


ซาลาเฟียเคยเดินทาง ไปเปิดบริการดองศพที่นิวยอร์ก ในการสาธิตประสิทธิภาพ ของนํ้ายาเขาทดลองดองศพไร้ญาติที่ ECLECTIC MEDI-CAL COLLEGE โดยฉีดนํ้ายาสูตรพิเศษของเขา เข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอของศพ จากนั้นก็ทิ้งศพไว้ โดยไม่ต้องเก็บในห้องเย็นเป็นเวลา 6 เดือน แล้วจึงนำศพมาผ่าพิสูจน์ ผลปรากฏว่าเนื้อเยื่อ ของศพยังคงอยู่ในสภาพดี ตึงและแห้ง ไม่มีกลิ่นเน่าเหม็น นอกเสียจากกลิ่นนํ้ายาดองศพ

ซาลาเฟียไม่เคยจดลิขสิทธิ์นํ้ายานี้ และไม่เคยเผยสูตรนี้แก่ใคร ดังนั้น เมื่อเขาเสียชีวิตลง ที่ปาร์เลอโมบ้านเกิด เมื่อ 31 มกราคม 1933 ความลับของนํ้ายารักษาศพสูตรพิเศษนี้ จึงลงหลุมไปกับเขาด้วย

เข้าใจว่าหนูน้อยโรซาเลียก็คงจะถูกฉีด นํ้ายาเข้าเส้นเลือดใหญ่เช่นกัน นํ้ายาดองศพ สูตรนี้จะประกอบขึ้นด้วยอะไรบ้างนั้น มีผู้สันนิษฐานไว้ต่างๆ ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ สารหนูหรือกรดอาร์เซนิค และปรอทไบคลอไรด์ (MERCURY BICHLORIDE) หากจะให้รู้จริงก็คงต้องตัดเนื้อเยื่อ ของแม่หนูโรซาเลียมาวิเคราะห์ ซึ่งวิธีนี้หลวงพ่อคาปูชินไม่ยอมแน่ๆ สูตรลับของซาลาเฟียจึงยังคงเป็นสูตรลับต่อไป

Credit: นสพ.ไทยรัฐ และhttp://www.artsmen.net
14 เม.ย. 53 เวลา 00:29 4,639 7 1,676
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...