ที่มา : แหล่งที่มา : kapook
การโกหกลักษณะนี้พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับการปั่นหัวคนนั่นเอง โดยจะเข้าไปพูดโน้มน้าว ชักจูงใจคนด้วยถ้อยคำโกหกที่เรียงร้อยมาอย่างดีแล้ว จนทำให้ผู้ฟังเกิดอาการคล้อยตามไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการเปลี่ยนความคิดของพวกเขาเพื่อประโยชน์ของตนนั่นเอง
หลาย ๆ ครั้งที่คนมักปักใจเชื่อว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ ทั้งที่ในบางครั้งมันก็ไม่ถูกต้องเสมอไป แต่คนเหล่านี้ก็จะสรรหาคำโกหกมายืนยันความคิดของตัวเองว่าดีที่สุดแล้วอยู่ เสมอ
ไม่น่าแปลกใจที่คนในสังคมสมัยนี้ต่างใส่ หน้ากากเข้าหากัน เพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข หรือบางคนก็ยอมโกหกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง เพียงเพราะต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไฮโซ เพื่อยกระดับฐานะของตนให้ดีขึ้น เนื่องจากไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนนอกคอก จึงยอมที่จะละทิ้งความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความสำหรับ เหตุผลที่คนโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ ซึ่งมันเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยที่คุณยังเป็นนักเรียนแล้ว ที่คุณเคยโกหกอาจารย์ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อเลี่ยงการถูกทำโทษ รวมไปถึงการโกหกเจ้านาย, พ่อแม่ หรือแฟนก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณไม่อยากต้องรับโทษในการกระทำของคุณนั่นเอง
อันที่จริงในชีวิตคนมันก็ต้องมีสักครั้ง แหละ ที่เราจำเป็นต้องโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์หรือรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเอา ไว้ ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ก็เป็นเหตุผลที่คนมักจะหยิบยกมาใช้เป็นข้ออ้างในการโกหกได้เหมือนกัน เช่น คุณอาจจะโกหกเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติหรือความสามารถของคุณ เพื่อให้มีโอกาสได้สัมภาษณ์งาน หรือแม้กระทั่งในระหว่างสัมภาษณ์ เป็นต้น
ในชีวิตหนึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยประสบพบเจอคนที่มีลักษณะเช่นนี้กันมาบ้าง ประเภทที่คุยโวให้ผู้อื่นฟังว่าตัวเองมีดีอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่คนอื่น ๆ ไม่มีกัน เพื่อเป็นการสร้างภาพให้ตัวเองดูดีขึ้น ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เป็นที่น่ารังเกียจของคนที่อยู่รอบข้างเอามาก ๆ เพียงแต่พวกเขาอาจไม่แสดงออกให้รู้ก็เท่านั้นเอง
ในบางครั้งการพูดความจริงบางอย่างทำให้เกิด บทสนทนาที่ยาวต่อเนื่องแบบที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งคุณไม่มีเวลาจะมานั่งฟังหรือไม่อยากฟังคำแนะนำ การวิพากษ์วิจารณ์ หรือคำถามอื่น ๆ ที่ตามมาอีกมากมาย ฉะนั้น หลายคนจึงเลือกที่จะโกหกเพื่อตัดบท แล้วขอตัวเดินออกจากวงสนทนาไป
เหตุผลนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่คนนิยมใช้กัน มากที่สุดข้อหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามที เมื่อใดก็ตามที่มีคนมาขอความช่วยเหลือจากคุณให้ทำโน้นทำนี้ให้หน่อย แต่คุณกลับบ่ายเบี่ยงปฏิเสธที่จะช่วยเหลือด้วยการโกหกแทน เช่น แฟนของคุณขอให้ช่วยแวะเอาของจากเพื่อนเธอ เนื่องจากเธอติดธุระทำให้ไม่สามารถไปรับได้ด้วยตัวเอง แต่คุณกลับโกหกว่าติดประชุม ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่มีการประชุมแต่อย่างใด เพียงเพราะคุณขี้เกียจเดินทางไปรับนั่นเอง
ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ในบางครั้งเรื่องบางเรื่องหากพูดออกไปก็อาจทำให้ตัวคุณเองรู้สึกขายหน้าได้ ซึ่งคงไม่มีใครหน้าไหนอยากพูดอะไรที่ทำให้ตัวเองดูแย่ในสายตาคนอื่นหรอก คงไม่แปลกที่เราจำเป็นต้องร่ายคำโกหกให้คนอื่นฟังเพื่อรักษาหน้าตัวเองเอา ไว้บ้าง
เราเชื่อว่าแทบจะทุกคนบนโลกเคยโกหกคนอื่น ด้วยเหตุผลนี้กันมาบ้างอย่างแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้น มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก แต่เพื่อถนอมน้ำใจของผู้ฟังนั่นเอง เช่น คุณต้องตอบคำถามประมาณว่า "ชุดที่ฉันใส่วันนี้สวยไหม?" "ตอนนี้ฉันดูอ้วนขึ้นหรือเปล่า?" หรือ "คุณชอบของขวัญที่ฉันให้ไหม?" เป็นต้น ซึ่งคำตอบจากใจ๊ จากใจคุณจริง ๆ เนี่ย มันอาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกขุ่นเคืองใจได้ หากตอบไปตามตรง ดังนั้น การโกหกด้วยเหตุผลนี้ จึงเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้อยู่บ้างยังไงล่ะ