10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์



 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

 

 

โลกของเราผ่านประวัติศาสตร์และเหตุการณ์สำคัญมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุโบราณ เมืองที่สาปสูญ การกอบกู้ประเทศ การพัฒนาของคน สังคมหรือสิ่งของ ล้วนแต่ก็เป็นประวัติศาสตร์กันทั้งนั้น และที่ทีนเอ็มไทยจะนำมาให้เพื่อนๆ ดูกันนั้นก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องจริงที่เกิดขึ้น 10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์ เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นเช่นไร ไปดูพร้อมๆ กันเลยคะ

 

  10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

10. The Donner Party

 

คณะเดินทางของดอนเนอร์ เป็นกลุ่มคนจำนวน 87 คนผู้บุกเบิกชาวอเมริกัน ระหว่างการเดินทางด้วยขบวนเกวียนของพวกเขาเพื่อข้ามเทือกเขาเนวาด้า ไปยังแคลิฟอร์เนีย ประมาณปี 1846 พวกเขาติดอยู่หิมะ อีกทั้งเสบียงอาหารและข้าวของจำเป็นในการดำรงชีวิตได้หมดลง พวกเขาเดินทางอย่างสิ้นหวังและหิวโหยอย่างแรง ในที่สุดพวกเขาก็กินเนื้อพรรคพวกที่ตายแล้วจึงสามารถรอดมาได้ (เริ่มกินเนื้อพวกเดียวกันเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1846 – 1 มีนาคม 1847) ทำให้คนทีเหลือเพียง 48 คนไปถึงหมาย เมื่อได้รับการช่วยเหลือก็ได้สารภาพว่าได้กินเนื้อคนเพื่อประทังชีวิต ส่งผลให้พวกเขาถูกกักพื้นที่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะออกสู่สังคมอีกครั้ง

 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

9. Regina v. Dudley and Stephens


กรณี Regina v. Dudley and Stephens น่าจะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ยังคงต้องคำถามจริยธรรมและการชีวิตรอดได้เป็น อย่างดี เรื่องราวของพวกเขายังคงเป็นกรณีศึกษาถึงกฎหมายฆ่าเพราะจำเป็น


เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 1884 เรือยอชต์ลำหนึ่งชื่อ Mignoette ได้ประสบอุบัติเหตุเรือล่มระหว่างทาง (เซาแธมป์ตันไปยังซิดนีย์) ลูกเรือทั้ง 4 คน ประกอบไปด้วยกัปตันทอม ดัดลีย์, เอ็ดเวิร์ด สตีเฟนส์, เอ็ดมันด์ บุคส์ และเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีชื่อริชาร์ด ปาร์คเกอร์ได้สละเรือและลงเรือชูชีพได้ทัน และระหว่างที่เรือลอยไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายอาหารก็หมดลง จนไม่มีอาหารและน้ำ ลูกเรือทั้ง 4 คนก็เริ่มหมดหวังและหิวโหย (ใช้ชีวิตบนเรือชูชีพนานกว่า 20 วัน) เพื่อความอยู่รอดและความจำเป็น ดัดลีย์และสตีเฟนส์ได้เสนอว่าเราควรสละคนใดคนหนึ่งเพื่อให้คนส่วนใหญ่รอด และพวกเขาก็เลือกปาร์คเกอร์ที่ตอนนั้นป่วยจนอาการโคม่าเพราะดื่มน้ำทะเลเข้า ไปเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็ฆ่าปาร์คเกอร์และกินเขา ทำให้รอดชีวิตมาได้ และเมื่อพวกเขาได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาก็ได้บอกว่ายอมรับที่เขาฆ่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ไม่งั้นพวกเขาจะตายหมด หากแต่แล้วเมื่อเรือขึ้นฝั่งพวกเขาก็โดนลงโทษ ดัดลีย์และสตีเฟ่นถูกประหารชีวิตในข้อหาฆาตกรรม (บุคส์ไม่มีส่วนร่วมในการฆ่า) แต่ภายหลังทั้งสองลดโทษเหลือจำคุกเพียง 6 เดือน

 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

8. The Crusades

 

สงครามครูเสด เป็นสงครามทางศาสนา โดยมีเป้าหมายคือเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นนครศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ทางศาสนาหลักทั้งสาม (ศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม) ซึ่งเป็นสงครามยาวนาน เกิดขึ้นหลายครั้ง มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมาย ไปจนถึงเหตุการณ์ที่จำเป็นที่ต้องกินเนื้อคน ในสงครามครูเสดครั้งแรกเมื่อ 1095-1099 ทัพครูเสดที่ยกทัพไปเมือง Antioch ซึ่งต้องเดินทางเป็นระยะทางที่ไกล พวกไพร่พลจึงล้มตายกลางทางเสียเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งต้องล้อมเมือง Antioch นาน 9 เดือน จนเสบียงเริ่มร่อยหรอลง ทำให้ต้องกินเนื้อศพพวกเดียวกัน หลังจากทัพครูเสดยึดเมือง Antioch ได้แล้วก็เดินทางไปยัง Marra Tun Muman เมืองในซีเรีย ที่นั้นชาวเมืองถูกฆ่าไม่ต่ำกว่า 100,000 คน และนำศพไปสับเป็นท่อนๆ นำเนื้อไปขายในกองทัพ กล่าวกันว่าพวกเขาฆ่าคนโหด***มและมีพฤติกรรมแบบนี้ก็เพราะพวกนี้ถือว่าการรบ และฆ่าพวกนอกศาสนาจะได้บุญและได้ขึ้นสวรรค์

 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

7. The Tang Dynasty

 

ราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้จีนอย่างมาก ทั้งด้านศิลปกรรม วัฒนธรรม และอีกหลายอย่าง แต่อย่างไรก็ตามราชวงศ์นี้ก็มีความดำมืดซุกซ่อนอยู่เหมือนกัน นั่นคือการกินเพื่อแก้แค้น กล่าวกันว่าในช่วงต้นราชวงศ์จะมีกองทัพกบฏที่บุกในเมืองใกล้เคียงเพื่อหา เหยื่อ เช่นเดียวกับทหารและพลเรือนปิดล้อมในระหว่างการจลาจลของกบฏ ได้กินหัวใจของศัตรูและตับเพื่อเป็นการแก้แค้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกินเนื้อคนเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังที่ มีต่อศัตรู

 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

6. Leningrad


หนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่น่าขนลุกขนพองที่สุดในประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2 น่าจะมีเรื่องยุทธการปิดล้อมเลนินกราดเป็นที่แน่นอน โดยในระหว่างวันที่ 8 กันยายน 1941 – 27 มกราคม 1944 เมื่อกองทัพนาซีทำการปิดล้อมเมืองเลนินกราด พลเมืองในเลนินกราดก็ได้สร้างกำแพงเพื่อไม่ให้กองทัพนาซีเข้ามาในเมือง จนกลายเป็นการปิดล้อมเมืองไปโดยปริยาย ชาวเมืองเลนินกราดต้องอยู่โดยที่ขาดแคลนอาหาร น้ำตื่ม พลเมืองมากกว่าหนึ่งล้านคนต้องอดตายในช่วงเวลานั้น เป็นเหตุทำให้คนหลายคนต้องกินเนื้อพวกเดียวกันเพื่อมีชีวิตรอด ด้วยการฆ่ากันเอง จนกลายเป็นวิถีชีวิตปกติของชาวเมืองในช่วงเวลานั้น ตำรวจเองก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พ่อแม่ของเด็กต้องเตือนเด็กไม่ให้ออกนอกบ้านเพราะเมื่อออกไปเด็กคงตกเป็น เหยื่อ เด็กจะถูกฆ่าและถูกกิน ร่างกายครึ่งหนึ่งที่กินเหยือถูกทิ้งเกลือนถนน

 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

5. The Japanese in WWII


ในขณะที่ประชาชนในโซเวียตถูกบังคับให้กินเนื้อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในเลนิ นกราด ทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองก็กำลังทำในหลักเดียวกัน เพียงแต่มีความแตกต่างกันตรงที่พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อความหิวเพียงอย่างเดียว


ผู้บังคับบัญชาสูงสุดจะสั่งลูกน้อง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ (ส่วนมากเป็นเชลยสงคราม) จะถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็นและร่างกายของพวกเขาจะถูกนำมาทำเป็นอาหารเพื่อเอา มากิน (ปกติเหลือเพียงมือและเท้าของเหยื่อเท่านั้นที่ไม่ถูกแตะต้อง) แต่ไม่ใช่เสมอไปเพราะมีอะไรน่ากลัวกว่านั้น บางเหยื่อเคราะห์ร้ายถูกเฉือนเนื้อจากแขนและขาของพวกเขาในขณะที่พวกเขายังมี ชีวิตอยู่ หลังจากนั้นพวกเขาก็โยนลงไปในหลุมตายอย่างช้าๆ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะช่วงที่ญี่ปุ่นหิวโหยจากการถูกปิดล้อม เท่านั้น ยังรวมไปถึงการที่ญี่ปุ่นควบคุมเชลยจำนวนมากในช่วงยึดครองเอเชียด้วย

 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์


4. The Ukrainian Famine of 1932


นี่คือความอดอยากที่เกือบทั้งหมดมนุษย์สร้างขึ้น ในช่วงที่โจเซฟ สตาลิน ปกครองยูเครนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียตอยู่ในขณะนั้น เขาได้ใช้มาตรการ Holodomor (Famine) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระบบนารวมของสหภาพโซเวียตกับชาวยูเครน อันส่งผลให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและการขาดแคลนอาหารขึ้นทั่วประเทศ ชาวยูเครนกว่า 7 ล้านคนต้องเสียชีวิตลงผลที่ตามมาก็คือรายงานที่น่าเศร้า เมื่อประชาชนในยูเครนที่พยายามมีชีวิตรอด ได้กินเนื้อพวกเดียวกันด้วยวิธีที่โหด***ม ยกตัวอย่างมีชายคนหนึ่งได้ฆ่าภรรยาของเขาและนำร่างกายของเธอมาทำน้ำซุป ในขณะที่เด็กและทารกถูกกินโดยคนในครอบครัวของเขาที่หิวโหย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากความโหดร้ายเบื้องหลังการปกครองของสตา ลินเท่านั้น
 
 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 


3. The Chinese Famine of 1959 


ในช่วงปี 1959 จีนกำลังอยู่ในสถาวะก้าวกระโดด อันเนื่องมาจากผลของความทะเยอทะยานของเหมา เจ๋อตุง ผู้นำประเทศ ที่ต้องการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน ด้วยการเปลี่ยนสังคมเกษตรมาเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทำให้จีนตกอยู่ในภาวะลำบาก เมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกิน ทำให้คนหลายล้านคนในประเทศเสียชีวิตเพราะความอดอยากเมื่อความอดอยากมาเยือน การกินเนื้อพวกเดียวกันจึงเป็นตัวเลือกอย่างช่วยไม่ได้ ความอดอยากทำให้พวกเขากินเนื้อพวกเดียวกันจนกลายเป็นสินค้าในตลาดของจีนใน เวลานั้น พ่อแม่ได้ฆ่าเด็กเพื่อกินลูกตนเองอย่างไร้ความเมตตา จนกลายเป็นความอดอยากที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะผลการตัดสินใจของ ผู้นำ

 

 

10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

2. St. Francis Raid


การโจมตีเซนต์ ฟรานซิส เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สงครามอินเดียนและฝรั่งเศส ที่เกิดในหมู่บ้านเซนต์ ฟรานซิส แคนาดา ในช่วงครั้งหลังของปี 1759 แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่ค่อยโดดเด่นเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเรื่องจริงที่โรเบิร์ต โรเจอร์ (นายทหารของอังกฤษที่มีชื่อเสียง) และพรรคพวกเขาบันทึกไว้ว่าเป็นการโจมตีที่โหดร้ายเลวทรามต่ำช้าที่สุดใน ประวัติศาสตร์วันที่ 4 ตุลาคม 1759 โรเจอร์สและคนอื่นๆอีกกว่า 140 คนได้บุกเข้าไปหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชราเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้กระทำเรื่องโหดร้ายด้วยการสังหารหมู่ชาวบ้านจำนวนมาก และเผาหมู่บ้าน ซึ่งจากรายงานพบว่ามีคนกว่า 300 คนที่ตาย สาเหตุเพราะโรเจอร์สและคนของเขาเดินทางอย่างยากลำบาก พวกเขาหิวเพราะขาดแคลนอาหาร เขาจัดการถลกหนังหัวและฆ่าเชลย แล่เนื้อดิบมากินสดๆ

 

 


10 เรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์

 

1. The Siege of Ma’arra and Antioch


แม้รายการนี้จะครอบคลุมสงครามครูเสด แต่ว่าเหตุการณ์นี้ถือว่ามีชื่อเสียงที่สุดในสงครามครั้งนั้น โดยเหตุการณ์โอบล้อมเมืองมาร์ร่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1098 ในช่วงก่อนสงครามครูเสด เมืองมาร์ท่าทางตะวันตกเฉียงเหนีอของซีเรีย


สงครามครั้งนี้ได้รับจารึกว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายในความโหดร้ายของ การกินเนื้อคน เมื่อกองทัพทหารคริสเตียนที่เสียสติด้วยความหิวโหย บางคนมีอาการขาดอาหาร บวกกับทหารบางคนได้มีจิตสำนึกว่าฆ่าคนนอกศาสนาไม่บาป ดังนั้นพวกเขาจึงบุกเข้าเมืองอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้ ชาวเมืองราว 2 หมื่นคนถูกฆ่าอย่างโหด***ม และเมื่อจัดการเสร็จปรากฏว่าในเมืองมีอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้นทางแก้ปัญหาคือการกินเนื้อชาวเมืองมาร์ร่าหรือพวกนอกศานา พวกเขาตัดชิ้นส่วนของฝ่ายตรงข้ามมากินอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ โดยบางส่วนบันทึกประวัติศาตร์ได้เขียนไว้ว่า


“เนื่องจากการขาดแคลนอาหาร กองทัพทหารของเราจึงจับพวกนอกรีต นอกศาสนาต้มทั้งเป็นในหม้อต้มอาหาร พวกเขาเสียบทะลุเด็กและนำพวกเขาไปย่าง ข้าสั่นกลัวที่จะบอกว่ากองทัพของเรา เกิดความบ้าคลั่งเพราะความหิว ต้องตัดแก้มก้นของคนที่ตายแล้ว เพื่อทำอาหาร แต่ไม่ทันที่ปิ้งสุกดี พวกเขาก็กลืนมันเข้าปากอย่างป่าเถื่อน”

 

 

ที่มา dek-d.com, blogspot.com

 


 
ที่มา: http://teen.mthai.com/variety/67537.html




 
 
Credit: http://board.postjung.com/744410.html
15 ก.พ. 57 เวลา 10:41 1,272 130
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...