เรื่องราวเกี่ยวกับผีหรือวิญญาณของผู้ที่สิ้นชีพไปแล้ว แต่หวนกลับมาหลอกหลอน หรือสิงสู่อยู่ในร่างกายมนุษย์นั้นมีปรากฏ อยู่ในทุกเชื้อชาติศาสนา ซึ่งแต่ละชาติก็จะมี “หมอผี” หรือผู้ทรงวิชาอาคม มาขับไล่วิญญาณร้าย เหล่านั้นให้ออกจากร่างของผู้เคราะห์ร้ายด้วยวิธีต่างๆ กัน เช่น เมืองไทยเราเมื่อ “แม่นาคพระโขนง” มาอาละวาด ก็มีผู้ทรงศีลมา “จับ” วิญญาณใส่ในหม้อ หรือที่พบกันบ่อยครั้งก็คือ มี “ผีปอบ” มาสิงสู่ ก็ต้องเสกน้ำมนต์ รดราด เสกข้าวสารซัดสาด หรือแม้ กระทั่งใช้วิธีรุนแรงด้วยการเฆี่ยนตีขับไล่ ให้ผีหนีกระเจิดกระเจิงไป
กรรมวิธีไล่ผีนั้นภาษาอังกฤษเรียกว่า เอ็กซอร์ซิสม์ (exorcism) ซึ่งครั้งนี้เราจะนำเอาวิธีการไล่ผีของดินแดนต่างๆ มาเล่าสู่กันฟัง
เริ่มจากเอเชียใกล้ๆ บ้านเราก่อนที่ทิเบต ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดนั้น มีพิธีกรรมหนึ่งเรียกว่า “เชธุร” ซึ่งใช้สำหรับการขับไล่เจตภูตโดยเฉพาะ ดังเช่นภาพประกอบที่นำมาลงไว้ เป็นพิธี กรรมที่ทำขึ้นใน พ.ศ.2524 ที่ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย (เนื่องจากพระทิเบตได้ ลี้ภัยจากดินแดนจีนตั้งแต่ พ.ศ. 2493) สาเหตุคือ ครูผู้สอนเด็กๆ ทิเบตได้ถึง แก่กรรม วิญญาณของเขาได้กลายเป็นปิศาจร้าย ที่หิวโหยและเข้าสิงชาวบ้าน เพื่อกระทำการอันน่าหวาดกลัวต่างๆ
ในการขับไล่วิญญาณนี้ ก่อนอื่นท่านสาธุคุณผู้ทำพิธีจะต้องอัญเชิญเทพเจ้า ที่นับถือมาเข้าทรงในร่างของท่านก่อนเป็นการสร้างพลังและอำนาจ จากนั้นก็จะนำเอาไม้สลักทาสีที่เป็นรูปภาพจำลองปิศาจต่างๆ ถึง 84,000 ตน มาคัดเลือก เอารูปที่ตรงกับลักษณะปิศาจครูผู้นั้นไว้ ครั้นแล้วก็เอาแป้งมาปั้นเป็นตุ๊กตาขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วสวดมนต์ท่องคาถาเรียกวิญญาณปิศาจ ให้เข้ามาอยู่ในตุ๊กตา ขณะเดียวกัน ท่านลามะก็จะเอามีดหมอแทงและสับตุ๊กตาขาดเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปเผาในหม้อโลหะ ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลายาวนานถึง 3 วัน
เมื่อประหารเจ้าปิศาจจนมอดม้วยเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ก็เอาขี้เถ้าไปฝังโดยสวดคาถาสะกด วิญญาณไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านอีกต่อไป ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
ในคริสต์ศาสนาก็มีพิธีขับไล่ปิศาจมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วเช่นกัน
โดยมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล Mark 1 : 32-34 กล่าวว่า “ค่ำวันนั้น หลังจากพระสุริยาลับฟ้า พวกเขาได้นำเหล่าผู้ป่วยและผู้ที่ถูกวิญญาณปิศาจสิง มาให้พระองค์ (พระเยซู) รักษา ผู้คนทั้งเมืองได้มาออดูกันอยู่ที่ปากประตู และพระองค์ก็ได้รักษาผู้ป่วยจำนวนมาก ให้หายจากโรคนานาชนิด แล้วพระองค์ยังขับไล่ปิศาจหลายตนให้ออกจากร่างคนเจ็บด้วย”
ปี พ.ศ.2154 นิกายโรมันคาทอลิก ได้ตั้งพิธีกรรมไล่ผี (RITUALE ROMANUM) ขึ้น อย่างเป็นทางการ โดยนำเอาระฆังโบสถ์มาทำเป็นหม้อสำหรับปรุง “น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งประกอบด้วยผลเชอร์รี่ น้ำมันมะกอก และสมุนไพร ผู้ใดมีอาการป่วย อันเนื่องจากปิศาจ เข้าสิงก็นำตัวมากรอกน้ำมนต์ ซึ่งคนป่วยจะสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อันแสดงถึงว่ามีปิศาจสิงอยู่จริง
ในยุคนั้นไม่เพียงแต่โรมันคาทอลิก แต่โปรเตสแตนต์และ พวกยิวก็มีพิธีกรรมไล่ผีเช่นกัน แต่โดยเหตุที่การเข้าสิงนั้นยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่เจ็บไข้จากโรค และพยาธิต่างๆ หาใช่จากปิศาจอย่างใดไม่ ดังนั้นกาลต่อมา นิกายทั้งหลายจึงลดบทบาทในเรื่องนี้ลง
อย่างไรก็ตาม แม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีการไล่ผีอยู่ และในระดับผู้นำชั้นสูงของศาสนาด้วย โดยท่านสันตะปาปาจอห์นพอลที่ 2 ได้ทรงทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายที่มาสิงอยู่ในร่าง ของสาวน้อยผู้หนึ่ง ในวันที่ 27 มีนาคม 2525 แม้ว่าทางวาติกันจะไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ท่านสาธุคุณ กาเบรียล เอมอร์ธ ผู้เป็นหลักในพิธีขับไล่วิญญาณแห่งกรุงโรม ได้ยืนยันว่า
“ทางโบสถ์ของเราไม่สงสัยเลยว่าปิศาจนั้นมีอยู่จริง แม้ทุกวันนี้ บ้านเมืองจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องนี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างแน่นอน”
คุณพ่อเอมอร์ธยังระบุอีกว่า จากผู้ป่วย 50,000 ราย ที่มาพบท่าน มีอยู่ 84 ราย ที่ถูกปิศาจเข้าสิงจริงๆ ท่านได้เห็นเหตุการณ์ ประหลาดๆ ที่บังเกิดขึ้นกับพวกเขา อาทิ ร่างลอยขึ้นสู่เพดาน อาเจียนออกมาเป็นตะปู เศษแก้ว แม้กระทั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์วิทยุ บางคนมีพละกำลังมหาศาลเหลือเชื่อ แต่บางคนก็อ่อนเปลี้ยเป็นอัมพาต นอกจากนี้ ปิศาจยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ในรูปของการบันดาลให้วัตถุสิ่งของลอยว่อนไปทั่ว
แหม...ในลักษณะนี้ก็คล้ายกับคนป่วยของไทยเราที่ถูกเสกของเข้าร่าง วัตถุยอดนิยมของเรานอกจากจะเป็นตะปูสนิมเขรอะ แล้วก็ยังมีเส้นผม เส้นขนเป็นขยุ้ม “หมอผี” เอาไข่ต้มมาคลึงตามตัวแล้วผ่าไข่ออกมาเจอสิ่งของเหล่านี้เพียบ
นิกายแองกลิคัน ซึ่งเป็นศาสนาคริสต์ทางการของอังกฤษก็มีการฝึก ผู้ปฏิบัติการไล่ผี ภายใต้กฎเกณฑ์เข้มงวด ที่ออกมาใช้ในปี พ.ศ. 2518 ทั้งนี้ หลังจากเหตุการณ์ในปี 2517 ที่ชายผู้หนึ่ง ถูกปิศาจเข้าสิง และฆ่าภรรยาของตนเองตาย ในการพิจารณาคดีนี้ทนายจำเลยได้ระบุว่า ผู้เป็นสามีได้วิกลจริตไปขณะหนึ่ง อันเนื่องจากถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ข้ออ้างของเขานั้นมีการรับรองโดยท่านสาธุคุณชั้นผู้ใหญ่แห่งคริสต์ศาสนาด้วย
อย่างไรก็ตาม มีหลายครั้งที่ขบวนการไล่ผีถูกนำมาใช้อย่างไม่สมควร และกลายเป็นผลร้ายต่อผู้ป่วย ทั้งนี้ ท่านสาธุคุณ โดมินิก วอล์คเกอร์ ประธานคณะศึกษาคริสเตียน ซึ่งเป็นผู้ทำพิธีเอ็กซอร์ซิสม์ประจำโบสถ์ ได้กล่าวยอมรับว่า มี “หมอผีเถื่อน” ซึ่งปราศจากความรู้ในการขับไล่วิญญาณ และใช้วิธีเฆี่ยนตีคนป่วยเพื่อให้วิญญาณปิศาจหลีกลี้หนีไป
สตรีเคราะห์ร้ายรายหนึ่งถูกนำไปขังในห้องมืดอับเพื่อบีบคั้นปิศาจ แต่กลับสร้างความหวาดผวาให้กับเธอจนถึงขั้นคลุ้มคลั่งเสียสติ นั่นไม่ใช่ผลที่เกิดจากปิศาจเข้าสิง แต่เป็นผลจากวิธีการทารุณที่พวกหมอผีเถื่อนใช้กับเธอต่างหาก
สตรีอีกคนหนึ่งวัย 56 แห่งเมืองมิด-แลนด์ ต้องสูญเสียงานในบริษัทประกันภัย เนื่องจากนักบวชเอ็กซอร์ซิสม์ประจำท้องถิ่น ระบุว่า เธอถูกวิญญาณปิศาจถึง 100 ตนคุกคาม
“ดิฉันถูกกักขังพร้อมกับคนอื่นๆ และโดนตวาดตะคอกให้วิญญาณออกจากตัว จนดิฉันประสาทเสีย”
หรือสตรีวัย 50 อีกคนหนึ่ง ซึ่งถูกระบุว่าวิญญาณปิศาจเข้าสิง
“ดิฉันถูกเขาพยายามล้างสมอง เขาให้ ดิฉันดูโทรทัศน์เฉพาะ บางรายการ อ่านได้แต่ หนังสือบางเล่ม มิฉะนั้นจะถูกปิศาจเล่นงาน”
เธอต้องไปพบจิตแพทย์และ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานถึง 5 สัปดาห์
ไทยเราก็มีวิธีไล่ผีแบบโหดๆ ช่นกัน คนไข้ที่มีลักษณะคล้ายผีปอบเข้าสิง อาจถูกน้ำมนต์ เย็นๆ รดจนหนาวสะท้าน (ยิ่งแสดงถึงอาการถูกผีเข้าจริงๆ) หรือโดนแส้ เฆี่ยนตีจนระบมตายไปเลย
เรื่องของภูตผีวิญญาณตลอดจนอำนาจลึกลับนั้น เป็นสิ่งพิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ พวกเราจึงต้องพิจารณาให้ รอบคอบ ไม่หลงเชื่ออย่างงมงาย แต่ก็ไม่ควรลืมถ้อยคำอมตะไว้ด้วย
"ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่"