ด้าน ศรส.สั่งดำเนินคดีคนทำผิดกฎหมายเลือกตั้งทุกราย
วันที่ 3 ก.พ. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศรส. พร้อมด้วยพล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สพฐ.ตร.) ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะกรรมการศรส.
โดย นายธาริต กล่าวว่า ศรส.ขอขอบคุณประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยไม่ร่วมขัดขวางการเลือกตั้งตามการปลุกระดมของกปปส. ส่วนประชาชนที่ร่วมกระทำผิด ศรส.จำเป็นต้องสั่งการให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทุกรายตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง และขอให้ประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์หรือถ่ายภาพไว้ได้ แจ้งความร้องทุกข์หรือมอบหลักฐานได้ที่สถานีตำรวจทุกแห่ง หรือติดต่อโทรศัพท์หมายเลข 1599 ได้ตลอด 24 ชม. นอกจากนี้ ศรส.ได้สรุปสาเหตุขัดข้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในบางเขตเลือกตั้งได้ 5 กรณี คือ 1.ในวันเลือกตั้งล่วงหน้า 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ไม่สามารถจัดให้มีการลงคะแนนได้
เนื่องจากกลุ่มกปปส.ข่มขู่ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ขัดขวาง ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง 2.ก่อนวันเลือกตั้งทั่วไป 1 ก.พ. ได้เกิดเหตุกลุ่มก่อความไม่สงบใช้อาวุธ และกำลังประทุษร้ายกับกลุ่มเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย และปิดล้อมสำนักงานเขตหลักสี่จนต้องประกาศงดการลงคะแนน 3.ก่อนวันเลือกตั้งและในวันเลือกตั้งทั่วไป 2 ก.พ.เกิดเหตุกลุ่มกปปส.ปิดล้อมสำนักงานไปรษณีย์ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ และสำนักงานเขตบางเขตในกทม.จนไม่สามารถนำบัตรเลือกตั้ง หีบบัตรเลือกตั้ง รวมทั้งเอกสารและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเลือกตั้งเข้าไปยังหน่วยเลือกตั้งได้ 4.กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งบางแห่งไม่มาปฏิบัติหน้าที่ และขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการ จึงไม่สามารถจัดหาบุคคลอื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทนได้ และ5.ในวันเลือกตั้งทั่วไป กลุ่มก่อความไม่สงบได้ขัดขวาง ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งบางแห่ง ทำให้ผู้มาใช้สิทธิ์ไม่สามารถเดินทางเข้ามาใช้สิทธิ์ได้
นายธาริต กล่าวต่อว่า ดังนั้นผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่มกปปส.จะต้องถูกดำเนินคดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำอีก โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานพิสูจน์หลักฐานได้รายงานต่อศรส.ว่า ผลการสืบสวนเหตุขัดขวางการเลือกกตั้งบริเวณสำนักงานเขตหลักสี่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้ปรากฎพยานหลักฐานต่างๆ และผลการตรวจสอบวิถีกระสุน ร่องรอยทางนิติวิทยาศาสตร์ ได้ข้อยุติในขณะนี้ว่า วิถีกระสุน และร่องรอยการใช้อาวุธปืน มาจากกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายกปปส.และฝ่ายที่ต้องการเลือกตั้ง ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเร่งขอหมายจับผู้กระทำผิด และทำการจับกุมโดยเร็วต่อไป
ขณะที่ พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า เท่าที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุมีร่องรอยกระสุนปืนในบริเวณดังกล่าวทั้งหมด 42 รอย มีทิศทางจากกลุ่มที่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง 3 รอย และจากกลุ่มกปปส. 39 รอย สำหรับวัตถุที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุมีทั้งปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนทั้งหมด 25 รายการ จำแนกเป็น ปืนอาก้า 1 หัว กระสุนปืน.223 1 หัว กระสุนปืนคาร์บิน 2 ปลอก หมอนรองกระสุนปืนลูกซอง 1 อัน ปลอกกระสุนปืนขนาด 11 มม. 4 ปลอก หัวกระสุนปืน .38 6 หัว หัวกระสุนปืน 9 มม. 9 หัว และปลอกกระสุนปืน 9 มม.2 ปลอก ส่วนอาวุธที่ถูกนำมาใช้ในเหตุการณ์ดังกล่าวมี 7 รายการ ประกอบด้วยปืนคาร์บิน ปืนขนาด .223 ลูกซอง อาก้า ปืนขนาด.38 ปืนขนาด 9 มม. และปืนขนาด 11 มม.