เมื่อวันที่ 2 ก.พ. สำนักข่าวต่างประเทศต่างรายงานบรรยากาศการเลือกตั้งในไทยตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หลังจากเกิดเหตุความรุนแรงที่เขตหลักสี่ในวันที่ 1 ก.พ. จนต้องยกเลิกการลงคะแนน จากนั้นในเช้าวันที่ 2 ก.พ. เกิดปัญหาผู้ชุมนุมขัดขวางการเลือกตั้งในเขตราชเทวีและเขตดินแดง นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานการเดินทางไปลงคะแนนของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคำให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นวันสำคัญ อยากให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพื่อธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตยต่อไป
โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีรายงานว่า ผู้ประท้วง กปปส.ไปปิดกั้นทางเข้าคูหาเลือกตั้งของประชาชนที่มีสิทธิลงคะแนน และขัดขวางการนำหีบบัตรเลือกตั้งไปคูหา ทำให้ประชาชนที่ต้องการเลือกตั้งในเขตดินแดงไม่พอใจมาก ต่างชูบัตรประชาชนและเรียกร้องให้เคารพสิทธิ จนเกิดการเผชิญหน้ากัน แต่ตำรวจไม่ได้พยายามจะเข้าไปแทรก กระทั่งมีชายคนหนึ่งฝ่าแนวตำรวจเข้าไปตะโกนให้เคารพสิทธิด้วย จึงถูกปาหินข้ามมา และมีเสียงปืนดังขึ้น สุดท้ายการลงคะแนนในเขตดินแดงต้องยกเลิก
ส่วนเหตุรุนแรงที่เขตหลักสี่นั้น บีบีซีรระบุว่ามีคลิปภาพบันทึกนาทีฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลถูกยิงบาดเจ็บ ส่วนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยิงปืนใส่ ขณะที่ภาพจากผู้สื่อข่าวหลายสำนักแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงขึ้นก่อน โดยมีอาวุธทั้งปืนสั้นและปืนไรเฟิล ระหว่างที่กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลดูแลและปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ
สำนักข่าวอัลจาซีรา สื่อชาติอาหรับ รายงานว่า ไทยจัดเลือกตั้งทั่วไปท่ามกลางความตึงเครียด แม้ประชาชนจะออกไปใช้สิทธิ์การเลือกตั้งท่ามกลางการคุ้มกันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่อย่างแน่นหนาทั่วประเทศ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูงในแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงจากการปะทะและเหตุนองเลือด ผลการเลือกตั้งของประเทศไทยในครั้งนี้จะส่งผลให้ประเทศไทยถลำลึกลงสู่ความขัดแย้งและมีโอกาสที่จะเกิดการชุมนุมต่อเนื่องยาวนานอีกหลายเดือน
สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปเลือกตั้งที่เขตเลือกตั้งใกล้บ้าน แขวงโยธินพัฒนา ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากกลุ่มประชาชนที่ให้การสนับสนุน
ซีเอ็นเอ็นสหรัฐรายงานว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สามารถยุติการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส. ซึ่งตามความเห็นของ ศ.ดันแคน แม็กคาร์โก อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยลีดส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของกลุ่มกปปส. เพราะไม่แสดงจุดยืนอะไรที่ชัดเจนมากไปกว่าการที่เรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นการเล็งผลเพียงระยะสั้นและต้องการให้การเมืองกลับเข้าสู่สภาพเดียวกับก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้ารับตำแหน่งซึ่งเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์
เอเอฟพีรายงานบรรยากาศการเลือกตั้งในประเทศไทยว่า ประชาชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดินทางออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างราบรื่น ขณะที่ในกรุงเทพมหานครและภาคใต้ถูกกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.เข้าขัดขวางในหลายพื้นที่ ท่ามกลางความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง แม้น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้แต่วิกฤตทางการเมืองจะยังไม่คลี่คลายลง
เอเอฟพียังสัมภาษณ์นายสุนัย ผาสุข จากองค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรต์วอตช์ ที่ระบุว่าสิ่งสำคัญสำหรับแกนนำทั้งสองฝ่าย คือ ต้องปฏิเสธความรุนแรงทุกชนิด และไม่อาจยอมรับความสูญเสียได้อีกแล้ว
ด้านเอพีรายงานว่า แม้การเลือกตั้งในภาพรวมจะดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น แต่ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร วิกฤตทางการเมืองจะยังคงดำเนินต่อไป จากเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าปิดล้อมระหว่างการรับสมัครส.ส.ในหลายจังหวัดจนไม่สามารถลงสมัครได้ ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถเปิดสภาหรือผ่านงบประมาณได้ หากเกิดสุญญากาศทางการเมืองอาจเป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพเข้าทำรัฐประหารได้ ขณะที่อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือการรัฐประหารโดยตุลาการ
บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องรักษาการต่อไป และจะส่งผลต่อความพยายามในการนำเงินมาจ่ายให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว และอาจนำการถอดถอนโดยป.ป.ช.
ด้านนิตยสารไทม์เผยแพร่บทวิเคราะห์สถานการณ์หลังการเลือกตั้งของไทย แม้นายสุเทพประกาศเตือนไม่ให้มีการขัดขวางการเลือกตั้ง แต่การปิดสำนักงานไปรษณีย์เพื่อไม่ให้หีบบัตรเลือกตั้งไปถึงคูหาในหลายจังหวัดภาคใต้นั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม และการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่ายอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องทำ คือป้องกันการปะทะด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และกองทัพจะต้องสนับสนุนการทำงานของตำรวจ
นิวยอร์กไทมส์รายงานบทวิเคราะห์ในประเด็นเดียวกันนี้ว่า เหตุปะทะที่หลักสี่ไม่เพียงแต่สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนที่ต้องการใช้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังเพิกเฉยต่อคำเตือนของสหประชาชาติและสหภาพยุโรปที่ต้องการให้ทุกฝ่ายเคารพในกติกาประชาธิปไตย
นายแนตชวีย์ ช่างภาพชาวอเมริกัน ที่อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า แม้นายสุเทพจะอ้างว่าการชุมนุมนั้นสงบและปราศจากอาวุธ แต่ภาพที่เกิดแตกต่างออกไป คือกระสุนลอยอยู่ในเมืองหลวงและตนถูกยิงเฉียดบริเวณกางเกง