1. ไม่ไปใช้สิทธิ์ No vote มีผลทำให้สถิติการใช้สิทธิ์ของไทยต่ำลงจนประจักษ์ต่อชาวโลกและบันทึกใน ประวัติศาสตร์ไทยให้อับอายเล่น แต่ไม่มีผลต่อการทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ แม้จะมีคนไปใช้สิทธิ์ไม่ถึง 24 ล้านคนก็ไม่เกี่ยว และไม่ชัดเจนว่า คุณตื่นตัวทางการเมืองจนอยากต่อต้านการการเลือกตั้ง หรือ คุณนอนดึกมาตื่นบ่าย แต่งตัวไม่ทันเลยไม่ไปใช้สิทธิ์
คุณจะไม่เสียสิทธิ์ทางการเมือง ในกรณีนี้ หากคุณไปแจ้งเหตุของการไม่ไปใช้สิทธิ์ต่อเขตหรืออำเภอ ภายใน 7 วัน หลังเลือกตั้ง (พยายามแจ้งเหตุที่เหมาะสมหน่อย อย่าไปบอกว่า ตื่นสาย เป็นต้น)
2. ไปใช้สิทธิ์ แต่ กา ไม่ประสงค์ใช้สิทธิ์ Vote no
บัตร สส.เขต : จะมีผลเฉพาะเขตที่มีผู้สมัครคนเดียว ถ้าคะแนน Vote no มากกว่าคะแนนผู้สมัคร แต่พอเลือกซ้ำถึงครั้งที่สาม เกณฑ์นี้จะหายไป
บัตร สส.บัญชีรายชื่อ : กา Vote no เท่าไหร่ ก็ไม่มีผลอะไร แม้จะมีมากกว่าคะแนนทุกพรรคก็ตาม คงแค่ฮือฮาว่า พรรคชื่อ Vote no มาแรงกว่าพรรคใหญ่
ประเด็นผลที่เกิดขึ้น หลังการเลือกตั้ง
1. 16 เขตที่มีผู้สมัครรายเดียว อาจมีบางเขตผู้สมัครอาจได้คะแนนน้อยกว่า ร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หรือน้อยกว่า vote no ในกรณีนี้ ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ทำให้ ได้ สส.ช้าไปประมาณ 1 เดือน หรือ เดือนครึ่ง แต่อย่างไรก็จบ เพราะในการเลือกใหม่รอบที่สาม ได้คะแนนเท่าไหร่ ก็ได้เป็น สส.
2. 28 เขต ที่ไม่มีผู้สมัคร ทำให้เปิดสภาไม่ได้ เพราะ มีสมาชิกขาดไป 25 คน ปัญหาจะถูกแก้ไขได้ในเวลา 2-3 เดือน หากมีการเปิดรับ และ มีผู้สมัครได้ 3 เขตขึ้นไปก็จบ กระบวนการดังกล่าว สามารถแก้ปัญหาได้ในช่วงเวลา 2-3 เดือน หลังจาก 2 ก.พ.
3. สส.บัญชีรายชื่อ 125 คน จะยังไม่สามารถประกาศชื่อ สส.ได้ เนื่องจาก ต้องรอการนับคะแนนจากทุกหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งมีประมาณ 99,000 หน่วย ในกรณีนี้คาดว่าจะมีหน่วยเลือกตั้งจำนวนมาก เป็นหมื่นหน่วยที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้ง และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ คาดว่าภายใต้สถานการณ์นี้ อาจต้องใช้เวลา 4-6 เดือน หรือมากกว่านั้น
4. สส.เขต 375 คน จะไม่สามารถประกาศได้แม้แต่รายเดียว เนื่องจากการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต ในวันที่ 26 ม.ค. มีผู้ที่ไม่สามารถมาใช้สิทธิ์ได้ประมาณ 2 ล้านคน (ผู้ลงทะเบียนนอกเขต 2.1 ล้าน มาใช้สิทธิ์ 1 แสน) ในกรณีนี้ จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งนอกเขตใหม่ ใน 83 เขต (กำหนดเป็น 23 ก.พ.) และ สามารถนับคะแนนได้เมื่อคะแนนไปถึงแต่ละหน่วยเลือกตั้งแล้ว คาดว่าภายใต้สถานการณ์นี้ อาจต้องใช้เวลา 3-4 เดือน หรือมากกว่านั้น จึงจะได้ สส.จำนวนหนึ่ง แต่หากจะให้ได้เกณฑ์ ร้อยละ 95 อาจใช้เวลา 4-6 เดือน หรือมากกว่านั้น
5. หลังจากการเลือกตั้ง 2 ก.พ. จะมีผู้ฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะทันที ด้วยสาเหตุที่หยิบยกขึ้นมามากมาย เช่น การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องทำในวันเดียว ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายความว่า แนวโน้มที่เงิน 3,800 ล้าน จะสูญเปล่ามีสูงยิ่ง
หากในวันเลือกตั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้เพราะมีกิจธุระจำเป็น ต้องไปแจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเทียนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเพื่อเป็นการป้องกันไม่ ให้เสียสิทธิ 3 ประการ
การแจ้งเหตุที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
-มีกิจธุระจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกล
-เจ็บป่วย พิการ สูงอายุ ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้
-พิการ หรือสูงอายุและไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
-เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
-มีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากที่เลือกตั้งเกินกว่า 100 กม.
-มีเหตุสุดวิสัยอื่นที่ กกต.กำหนด
วิธีการแจ้งเหตุ ระหว่างก่อนวันเลือกตั้ง 7 วัน จนถึงหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน
กรอกแบบฟอร์มหนังสือ แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ (ส.ส. 28) โดยระบุหมายเลขประจำตัวประชาชน และที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้าน แนบหลักฐานเหตุจำเป็นที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ได้ 3 วิธีการ คือ
3.1 ยื่นด้วยตนเอง
3.2 มอบหมายบุคคลอื่นไปยื่นแทน
3.3 ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
ไม่ไปเลือกตั้ง ไม่แจ้งเหตุ เสียสิทธิ 3 ประการ
-เสียสิทธิการยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.
-เสียสิทธิการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส., ส.ว., สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น และสิทธิได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว.
-เสียสิทธิการสมัครรับเลือกเป็นกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน สิทธิทั้ง 3 ประการ จะได้กลับคืนมาเมื่อไปใช้สิทธิการเลือกตั้งอย่างใดอย่างหนึ่ง ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระดับชาติหรือท้องถิ่น
ข้อคิดจาก มีชัย ฤชุพันธ์:เราควรออกไปเลือกตั้งหรือไม่
เมื่อการเลือกตั้งทำท่าว่าจะมีขึ้นแน่ ๆ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ คำถามที่มีคนถามอยู่เป็นประจำคือ แล้วประชาชนทุกฝ่ายควรจะทำอย่างไร ควรออกไปเลือกตั้ง หรือควรอยู่เฉย ๆ ไม่ออกไปเลือกตั้ง
มีคนส่งข้อความใน Social Media ชักชวนให้ทุกคนไม่ออกไปเลือกตั้งเพื่อว่าถ้ามีคนออกไปเลือกตั้งไม่ถึงร้อยละ 50 แล้วจะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
คนที่ส่งข้อความนั้นจะมีเจตนาอย่างไรไม่ทราบ
แต่ความใจนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถึงจะมีคนไปเลือกเพียง ร้อยละ 10 การเลือกตั้งนั้นก็ไม่เป็นโมฆะ เพราะกฎหมายให้นับแต่เฉพาะคะแนนของคนที่ไปลง ไม่ได้นับคนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์
สมมติว่าในเขตเลือกตั้งหนึ่ง มีผู้มีสิทธิลงคะแนนจำนวน 100,000 คน มีผู้สมัคร 2 คน ในวันเลือกตั้ง ทั้งเขต มีคนไปลงคะแนนเสียงเพียง 10 คน นาย ก. ได้ 10 คะแนน นาย ข. ไม่ได้คะแนนเลย นาย ก. ก็ได้รับเลือกตั้ง ทั้งยังกล่าวอ้างอย่างเต็มปากด้วยความภูมิใจว่าได้รับเลือกมาด้วยคะแนน 100 เปอร์เซ็นต์
การเลือกตั้งนั้นก็ใช้ได้ตามกฎหมาย
ความเป็นโมฆะของการเลือกตั้ง จะไม่ได้เกิดจากจำนวนคนที่ออกไปใช้สิทธิ หากแต่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ไม่อาจจัดการเลือกตั้งได้ในวันเดียวกันทั่วราช อาณาจักร ซึ่งทั้งรัฐบาลก็รู้ และ กกต. ก็รู้ เพียงแต่ยังไม่ได้มีการพูดกันอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นก็คงนำไปสู่ความรับผิดชอบทั้งทางอาญา และทางแพ่ง ที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัฐบาล และ กกต. ในวันข้างหน้า ขึ้นอยู่กับว่าใครจะปกป้องตัวเองได้รอบคอบกว่ากัน
ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลพากันไม่ออกไปลงคะแนนเลือกตั้ง คงมีแต่คนที่เห็นด้วยกับรัฐบาลออกไปลงคะแนน ผลจะเป็นดังนี้
1.คนที่ไม่ออกไปใช้สิทธิจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองทุกคน เว้นแต่คนที่ได้แจ้งเหตุไม่ไปลงคะแนนไว้แล้ว
2.คะแนนที่ปรากฏจากการเลือกตั้ง จะเป็นว่า ผู้มาใช้สิทธิทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เลือกผู้สมัครของรัฐบาล ซึ่งเป็นผลดีต่อรัฐบาล ทำให้เกิดกำลังใจในการดำเนินการตามนโยบายที่คิดว่าดีแล้วต่อไปได้อย่างเต็ม ที่ และใช้เป็นข้ออ้างตามหลักของการเลือกตั้งปัจจุบันได้ว่าคนทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดสนับสนุนการกระทำของรัฐบาล
3.ส่วนคนที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็จะถูกกล่าวอ้างได้ว่า เป็นพวกที่ไม่สนใจในการเลือกตั้ง หรือไม่สนใจในผลของการเลือกตั้ง ใครจะทำอย่างไรก็รับได้เสมอ
แต่ถ้าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลพากันออกไปใช้สิทธิลงคะแนน ผลจะเป็นดังนี้
1.คนที่เห็นดีเห็นงามกับรัฐบาลก็จะเป็นโอกาสแสดงให้รัฐบาลรับรู้ถึงความ เห็นด้วยนั้น อันเป็นกำลังใจที่สำคัญให้แก่รัฐบาลที่จะทำตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป
ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ก็จะได้ใช้โอกาสนี้ไปแสดงให้ปรากฏว่าไม่เห็นด้วย โดยการไปทำเครื่องหมายในช่อง “ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง” หรือที่เรียกกันว่า No Vote หรือ Vote No หรือแม้แต่ผู้ที่คัดค้านการเลือกตั้ง ก็ต้องไปใช้สิทธิด้วยการทำเครื่องหมายในช่องดังกล่าว เพราะเป็นทางเดียวที่จะแสดงออกอย่างเป็นทางการได้
2.สำหรับในเขตที่มีคนสมัครคนเดียว คนที่ไม่เห็นด้วยยิ่งต้องไปใช้สิทธิเพื่อแสดงออก เพราะตามกฎหมายนั้น เมื่อมีผู้สมัครคนเดียว ผู้สมัครคนนั้นจะได้รับการเลือกตั้งก็ต่อเมื่อได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในเขตนั้น และต้องได้คะแนนมากกว่าจำนวนผู้ Vote No การไปใช้สิทธิเพื่อทำเครื่องหมายในช่องดังกล่าจึงเป็นความสำคัญ และมีผลตามกฎหมาย เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะขจัดคนที่เราเห็นว่าไม่ดี ให้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
3.สำหรับในเขตที่มีคนสมัครมากกว่าหนึ่งคน แม้คะแนน Vote No จะไม่มีผลต่อการได้รับเลือกตั้งของผู้สมัคร แต่ก็จะเป็นเครื่องหมายแสดงว่ามีประชาชนไม่ต้องการผู้สมัครคนนั้นขนาดไหน ยิ่งถ้าคะแนน Vote No มีมากกว่าคะแนนที่เขาได้รับ เขาก็จะอ้างไม่ได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ได้เลือกให้เขามาเป็นผู้แทน ข้อสำคัญน้ำหนักของคะแนน Vote No จะเป็นแรงกระตุ้นให้มีการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง ให้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง คือ
ต่อไป ไม่ว่าจะมีผู้สมัครกี่คน สมควรจะกำหนดไว้ในกฎหมายหรือไม่ว่า คนที่จะได้รับเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนมากกว่าคะแนน Vote No และเมื่อมีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ (เพราะไม่มีใครได้รับเลือกตั้ง) คนที่สมัครแล้วได้คะแนนน้อยกว่า Vote No จะต้องหมดสิทธิในการลงรับสมัครในการเลือกตั้งครั้งนั้น
เพราะถือว่าประชาชนเสียงข้างมากได้แสดงให้ปรากฏว่าไม่เอาคนนั้นแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะดึงดันให้ประชาชนต้องเลือกอีก ถ้าสามารถผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งให้มีผลดังกล่าวได้ สิทธิของเราจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะบอกได้ว่าเราจะเอาหรือไม่เอาใคร
4.การไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันทั้งหมด ก็จะพากันถูกตัดสิทธิในทางการเมือง ในยามจำเป็นที่จะต้องเข้าชื่อเพื่อดำเนินการบางอย่าง เช่น ถอดถอน หรือเสนอกฎหมาย ก็จะไม่เหลือใคร
5.การไปใช้สิทธิ จะแสดงว่าประชาชนมิได้รังเกียจการเลือกตั้งหรือคัดค้านการเลือกตั้ง เพียงแต่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องปรับปรุงกติกาเสียใหม่ให้เกิดความสุจริตและ เที่ยงธรรมก่อน จึงแสดงออกด้วยการ Vote No การไม่ไปใช้สิทธิ นอกจากความสะใจแล้ว ก็ไม่ได้ผลอะไร ทั้งยังอาจถูกแปลไปว่าไม่มีใครสนใจในการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นปกติของการเลือกตั้งทั่วไปที่คนเกือบครึ่งหนึ่งมิได้ไปใช้สิทธิ เลือกตั้ง ทั้งการเลือกตั้งนั้นก็ยังดำเนินต่อไป และใช้อ้างอิงได้
6.ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ออกไปใช้สิทธิ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีใครถือโอกาสขนใครไปใช้สิทธิแทนเรา ขนาดการใช้สิทธิล่วงหน้า ยังมีคนขนคนที่ไม่มีบัตรแสดงตนมาลงคะแนนเอาหน้าด้าน ๆ เมื่อจับได้คาหนังคาเขา ตำรวจยังปล่อยตัวไปเสียอย่างนั้นแหละ
โดยสรุป การเลือกตั้งครั้งนี้ (หากจะมีขึ้นตามความต้องการของรัฐบาล) ประชาชนทุกคนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ต้องออกไปใช้สิทธิกันทุกคน ทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะแสดงออกให้เห็นถึงความประสงค์อันแท้จริงของประชาชน อุตส่าห์ออกกันมามือฟ้ามัวดิน แต่ถูกเขากล่าวหาว่ามีเพียงไม่กี่หมื่นกี่แสนคน เพราะไม่มีใครมายืนยันให้ยอมรับกันได้ว่าเป็นแสนหรือเป็นล้าน การไปใช้สิทธินี่แหละจะยืนยันได้ว่าคนไม่เห็นด้วยมีจำนวนไม่กี่แสนคนจริง หรือ
ที่สำคัญคนที่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ต้องออกไป เพื่อเป็นกำลังใจให้รัฐบาล ในขณะเดียวกันคนที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องออกไปเพื่อไปแสดงออกให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการ Vote No คนจำนวนมากเขาลำบากตรากตรำ พลัดที่นาคามาอยู่ มากินนอนกลางถนนด้วยความเหนื่อยยากเป็นเดือน ๆ แม้แต่ชีวิตก็ต้องเสียไป แล้วเราจะนั่งรอเสวยผลจากความลำบากของเขา บนชีวิตเลือดเนื้อของเขา โดยไม่ทำอะไรเลย แม้เพียงแค่ออกไปแสดงให้ปรากฏในคูหาเลือกตั้ง จะไม่เป็นการเอาเปรียบเขาเกินไปหรือ จะไม่อายตัวเองและลูกหลานทีเดียวหรือ
ส่วนการที่การเลือกตั้งที่จัดให้มีขึ้นจะกลายเป็นโมฆะในภายหลังหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบกับการออกไปใช้สิทธิของประชาชน เพราะตัวเลขที่จะปรากฏจากผลการออกไปใช้สิทธิจะยังใช้ได้ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างได้ในที่สุด เพราะเหตุที่จะกลายเป็นโมฆะนั้น จะไม่เกี่ยวกับจำนวนที่ออกไปใช้สิทธิ หากแต่เกี่ยวกับกระบวนการในการจัดการเลือกตั้ง และวันที่กำหนดให้มีการเลือกตั้ง
แต่ถ้าเกิดเหตุเภทภัยใดจนทำให้ไม่สามารถ เข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งได้ ก็เป็นอันจนใจ ไม่จำเป็นต้องลำบากถึงขนาดจะต้องดันทุรังให้เป็นภัยแก่ตัวเอง เพราะถ้ามีเหตุเกิดขึ้นเช่นนั้น การเลือกตั้งในหน่วยนั้นก็คงไม่มีอยู่ดีแหละ