นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ทำให้ประชาชนตื่นตัว สนใจติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด และอยู่ภายใต้สภาวะกดดัน ทำให้มีผลกระทบต่ออารมณ์และเกิดความเครียดโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากไม่สามารถจัดการกับความเครียดให้หายไปได้ หรือไม่หายไปตามระยะเวลาที่ควรจะเป็น และสะสมความไม่สบายใจไปเรื่อยๆ อาจพัฒนาไปสู่กลุ่มอาการที่เรียกว่า เครียดจากการเมืองหรือเรียกว่า พีเอสเอส (PSS: Political Stress Syndrome ) ซึ่งไม่ใช่โรคจิต แต่เป็นปฏิกิริยาของอารมณ์และจิตใจที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือติดตามสนใจปัญหาการเมืองอย่างใกล้ชิด หรือมีความเอนเอียงไปกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จนทำให้เกิดอาการทางจิตใจ ทางกายและกระทบต่อสัมพันธภาพกับผู้อื่น ที่สำคัญคืออาจมีความคิดคาดการณ์ที่นำไปสู่ความวิตกกังวล หรือกังวลต่อเหตุการณ์ในอนาคต เช่นกลัวว่าจะเกิดความรุนแรงเช่นในอดีต ซึ่งเป็นความหวั่นวิตกที่แฝงอยู่ในใจคนส่วนหนึ่ง
นพ.วชิระกล่าวต่อว่า บุคคลที่มีความเสี่ยงเกิดอาการพีเอสเอส มี 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1.กลุ่มนักการเมือง 2.กลุ่มที่สนับสนุนทั้ง 2 ฝ่าย 3.กลุ่มผู้ติดตาม 4.กลุ่มผู้ที่สนใจข่าวสารการเมือง และ5.กลุ่มผู้มีปัญหาสุขภาพจิต ลักษณะกลุ่มอาการพีเอสเอส จะปรากฏออกมา 3 อาการ คือทางกาย จิตใจ และกระทบต่อความสัมพันธภาพกับผู้อื่น โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้ 1.อาการทางกาย จะมีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตึงบริเวณขมับ ต้นคอ แขน ขา นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ ตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หายใจไม่อิ่ม แน่นหรือปวดท้อง และชาตามร่างกาย 2.อาการทางใจ จะมีความวิตกกังวล ครุ่นคิดตลอดเวลา หงุดหงิดง่าย โกรธ ฉุนเฉียว ก้าวร้าว เบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง รู้สึกไม่มีทางออก ไม่มีสมาธิ ฟุ้งซ่าน หมกมุ่นมากเกินไป และ3. มีปัญหาพฤติกรรมสัมพันธภาพกับผู้อื่น โดยมีการโต้เถียงกับผู้อื่น หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว ใช้อารมณ์ปานกลางถึงรุนแรง ยับยั้งตนเองไม่ได้ มีความคิดที่จะตอบโต้โดยใช้กำลังในการเอาชนะ หรือเอาชนะทางความคิดกับคนที่เคยสนิทกัน เป็นต้น
นพ.วชิระกล่าวต่อไปว่า หากมีอาการดังกล่าว แนะให้ปฏิบัติ 6 วิธี เพื่อช่วยในการผ่อนคลาย ได้แก่
1. ให้หันเหความสนใจไปเรื่องอื่นๆ แทน 2. ลดความสำคัญของปัญหาการเมือง ลงมาชั่วขณะ ให้ความสำคัญกับเรื่องเร่งด่วนอื่นๆ 3. พูดคุยกับผู้ที่มีแนวคิดใกล้เคียงกัน เพื่อระบายปัญหาออกไป 4.ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที และพักผ่อนให้เพียงพอ 5. ฝึกผ่อนคลายด้วยตนเอง เช่น การฝึกสติ ฝึกการทำสมาธิ ฝึกโยคะ ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และ 6.หันมาหาวิธีการทำให้จิตใจสงบ อาจใช้ศาสนาช่วยในการขัดเกลาจิตใจ เพื่อปล่อยวาง
ทั้งนี้เมื่อสถานการณ์คลี่คลายหรือเมื่อละความสนใจ ไปสนใจเรื่องอื่น อาการต่างๆจะหายได้เอง แต่หากยังมีอาการเกิน 1 สัปดาห์ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้านทันที หรือใช้บริการปรึกษาทางสายด่วนสุขภาพจิต หมายเลข 1323 และ 1667 ตลอด 24 ชั่วโมง