เตือนนองเลือด-แผนจับนายกฯ

รายงานพิเศษ



กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ยกระดับการชุมนุมอีกขั้นต่อเนื่องจากแผน ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ด้วยการประกาศนำม็อบไปควบคุมตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี พร้อมตัดน้ำตัดไฟบ้านรัฐมนตรีทุกคน 

นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์วงกว้างว่า การกระทำดังกล่าวสมเหตุสมผลหรือไม่ เข้าลักษณะของการข่มขู่คุกคาม ใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้หรือไม่ อย่างไร 

นักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว โดยต่างก็หวั่นเกรงจะเป็นปมที่นำไปสู่ความรุนแรงด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้



พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ 
ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล 
สถาบันพระปกเกล้า

กรณีนายสุเทพประกาศยึดสถานที่ราชการ คุมตัวรัฐมนตรีให้หมดและตัดน้ำ ตัดไฟบ้านรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะสถานที่แต่ละแห่งต้องมีตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว 

อีกทั้งฝ่ายเสื้อแดงคงไม่ยอมให้มีการควบคุมตัวนายกฯ และรัฐมนตรีอย่างแน่นอน หากกลุ่มกปปส.ทำเช่นนั้นจริง จะเกิดเหตุโกลาหลเข้าสู่สงครามได้ 

และจะเป็นความเสี่ยงต่อมวลชนของกปปส.เองด้วย เพราะการจับตัวนายกฯ และรัฐมนตรีจะเสมือนเป็นการปฏิวัติ คนทำจะโดนคดีความด้วย เนื่องจากไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น

ที่ผ่านมาแกนนำกปปส.ประกาศสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะรุนแรงมาตั้งแต่เดือนพ.ย. แต่เท่าที่ดูหลายครั้งเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ครั้งนี้จึงน่าจะเป็นการประกาศในลักษณะของการปรามรัฐบาลมากกว่า 

เพราะดูเหมือนการชุมนุมที่ผ่านๆ มา จะไม่ทำให้รัฐบาลหันมาสนใจ รัฐบาลเองก็พยายามดึงสถานการณ์ไว้จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 

ซึ่งการชุมนุมที่ยืดเยื้อแบบนี้จะยิ่งส่งผลเสียแก่กลุ่มกปปส. เพราะขวัญกำลังใจก็เริ่มหดหายไปบ้าง ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้รับผลกระทบจากการเมือง ความกดดันจากภาคเศรษฐกิจ และคำถามที่ต้องตอบจากทั่วโลกด้วย 

เห็นชัดว่าขณะนี้นายสุเทพต้องการให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง แต่เมื่อการชุมนุมยืดเยื้อเช่นนี้ก็คงไม่จบ ลงง่ายๆ 

ซึ่งหากจะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองก็ต้องทำการปฏิวัติโดยประชาชนที่เข้ามายึดอำนาจไว้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หรือการทำปฏิวัติโดยทหาร ซึ่งคงมีหลายฝ่ายออกมาต่อต้านอีก 

ส่วนอีกแนวทางที่จะเกิดสุญญา กาศทางการเมืองโดยรัฐบาลก็คือ คดีความต่างๆ ของรัฐบาล อาทิ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอนาคตประเทศมูลค่า 2 ล้านล้านบาท โครงการบริการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท 

ซึ่งก็มีการฟ้องร้องกันโดยตลอดจนอาจทำให้รัฐบาลตกอยู่ในสภาวะกดดันจากความผิด

จนต้องยอมถอยไปเอง



สิงห์ชัย ทุ่งทอง 
ส.ว.อุทัยธานี

ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่การแสดงออกของสิทธิทางการเมือง และไม่ใช่วิธีต่อสู้ในแนวทางความคิด ยิ่งตอกย้ำความแตกแยก เกลียดชัง เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีกลุ่มสนับสนุนของตัวเอง 

การไปปิดบ้านคนอื่น ข่มขู่ตัดน้ำ ตัดไฟ ไม่ใช่วิสัยของการกระทำเพื่อส่วนรวม แต่เป็นการทำผิดกฎหมาย และหากควบคุมตัวเองหรือกลุ่มไม่ได้ก็จะนำไปสู่ความรุนแรง 

ปัญหาวันนี้ไม่ใช่แค่การกระทำ แต่ไปถึงขั้นการเจรจาพูดคุยที่ใช้คำหยาบคาย มาดร้าย ด่าทอกัน ตรงนี้นำไปสู่ความ ขัดแย้งเกินเลย ทั้งที่เป็นการต่อสู้ของคนที่เห็นต่างทางการเมืองเท่านั้น 

แบบนี้ประเทศชาติแตกแยก ท้ายที่สุดประชาชนก็จะกลายเป็นเหยื่อโดยที่ไม่มีประโยชน์ร่วมต่อความขัดแย้งทางการเมือง 

การชุมนุมต้องปราศจากอาวุธ ไม่ลิดรอนสิทธิคนอื่น ถ้าเรามุ่งกระทำในสิ่ง นอกเหนือกติกา ขาดความอดทน ถามว่าการชุมนุมจะไปจบที่จุดไหน 

ม็อบกปปส.ไม่มีอำนาจตัดน้ำตัดไฟ ทำได้แค่ขู่ ยิ่งการประจานรายชื่อว่าจะบุกบ้านใครบ้าง อาจเข้าข่ายการก่อการร้ายได้ แถมล่าสุดยังประกาศบุกบ้านสื่อบางสำนัก เท่ากับคุกคามสื่อเข้าไปอีก ทั้งที่สื่อก็ทำหน้าที่แค่เสนอข่าวเท่านั้น 

อยากให้ผู้ชุมนุมรู้จักแสดงพลังตามกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่จ้องไปกดดันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยหมด ขณะที่รัฐเองในฐานะผู้ดูแลกฎหมาย ทั้งรัฐบาล ตำรวจ ก็ต้องรู้จักใช้กฎหมายเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นกัน ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย 

เชื่อว่าไม่มีใครต่อว่ารัฐบาลที่ทำตามกฎหมาย เพราะถ้ายังปล่อยให้รัฐไม่มีอำนาจบริหารประเทศ ก็จะยิ่งขาดความชอบธรรมที่ไม่สามารถดูแลประเทศและประชาชนได้ 

ขอย้ำว่ารัฐบาลจะต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ เพราะหากให้ม็อบใช้กฎหมู่ต่อไปเรื่อยๆ ผลจะเป็นอย่างไร 

แต่เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่เกิด ม็อบคงแค่ขู่เพื่อสร้างสัญลักษณ์ ปลุกเร้า ผู้ชุมนุมมากกว่า คงไม่ทำลายชีวิตทรัพย์สินให้เสียหาย แนวทางป้องกันจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าช่วยกันเตือนสติแต่ละฝ่าย 

ฝ่ายผู้ชุมนุมไม่ควรทำในลักษณะกองโจรผู้ร้าย ขณะที่รัฐบาลก็ไม่ควรปล่อยสถานการณ์ให้เกินเลยจนรักษาความสงบไม่ได้



พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย 
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ 

หากกลุ่มกปปส. จับตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จะถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างแน่นอน เพราะการชุมนุมโดยทั่วไป สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องเป็นการชุมนุมโดยสันติและปราศจากอาวุธเท่านั้น 

ถ้ากปปส.เลือกใช้วิธีการดังกล่าว จะทำให้การชุมนุมเรียกร้องไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพที่ถูกต้องตาม กรอบของรัฐธรรมนูญอีกต่อไป 

เพราะไม่ว่าจะเป็นการประกาศควบคุมตัวนายกฯ และรัฐมนตรี การตัดน้ำตัดไฟ ปิดล้อมหน่วยงานราชการไม่ให้ข้าราชการปฏิบัติงานได้ รวมถึงการขัดขวางการรับสมัครการเลือกตั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลักษณะของการคุกคาม 

เนื่องจากรัฐธรรมนูญออกแบบมาคุ้มครองสิทธิประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อปกป้องสิทธิของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จะไปละเมิดสิทธิของคนอื่นได้

อยากให้แกนนำ กปปส. ลองมองกลับกัน นึกถึงใจเขาใจเราบ้าง ถ้ามีคนประกาศจะมาจับกุมคุณ หรือคนในครอบครัวของคุณ คุณจะชอบและรับได้ หรือไม่ 

เชื่อว่าถ้ากปปส.ทำเช่นนั้น ก็ต้องเกิดเหตุจลาจล มีการนองเลือดเกิดขึ้นแน่นอน เกิดความรุนแรงที่อาจไม่สามารถควบคุมอยู่ เพราะฉะนั้นต้องชุมนุมให้อยู่ในกรอบเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการปกครองโดยม็อบ 

การต่อรองส่งสัญญาณของแกนนำ กปปส. ในลักษณะนี้ มีแต่จะก่อให้ ความรุนแรง ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เรียกร้องอยู่ในกฎเกณฑ์ ขัดแย้งกับตัวกฎหมายมา โดยตลอด 

ซึ่งบางครั้งผมก็สงสัยในเชิงระบบ ทั้งตำรวจ อัยการ ทำไมไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เข้มแข็ง

17 ม.ค. 57 เวลา 11:24 942
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...