สำหรับทหารข้าศึกสิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงฟ้าคำราม พื้นดินสั่นไหว ทรายและต้นไม้เอนลู่ตามแรงลม ถ้าพวกเขามองได้ก็จะเห็นใบพัดขนาดใหญ่ กระบะจรวดและนักบินจ้องเขม็งผ่านตาขนาดใหญ่ มันดูเหมือนแมลงสังหารขนาดยักษ์ เครื่องบินนี้สามารถบินด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ยิงถล่มด้วยจรวดเฮลไฟร์ (Hellfire) 16 นัด ปืนใหญ่ 30 มม. ยิงได้กว่า 600 นัดต่อนาที มันโจมตีรถถัง ยานยนต์หุ้มเกราะและทหารอย่างแม่นยำเฉียบขาด กลางวันหรือกลางคืนไม่ให้มีที่ซ่อนได้ มันจะตามล่าและสังหาร มันคือเฮลิคอปเตอร์อันตรายที่สุดในโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคืออาวุธที่น่าสนใจ มันทำให้ข้าศึกในสนามรบหวาดกลัว อาวุธหลักที่ใช้ต่อต้านยานเกราะคือระบบจรวดเฮลไฟร์ มันเจาะเข้ารถถังแล้วเริ่มระเบิดจากข้างใน มันหลอมละลายรถถังทั้งคัน จากบันทึกภาพในอดีตและเอกสารสำคัญ รายการ Battle Station จะพาคุณไปพบกับความแข็งแกร่งของเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ (Apache)
เวลาสองนาฬิกาเช้าตรู่วันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1991 กลุ่มเฮลิคอปเตอร์ AH64A 6 ลำ จากกองบินที่ 101 บินขึ้นจากฐานทัพอากาศอัลคาจ (Al Kharj) ซาอุดิอารเบีย พวกเขาซอกซอนไปตามทะเลทรายด้วยความเร็ว 150 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยไม่ถูกตรวจพบ พวกเขาบินข้ามพรหมแดนด้วยความสูงที่ต่ำมากอาจไม่ถึง 100 ฟุตเหนือพื้นด้วยซ้ำ เป้าหมายของพวกเขาคือที่ตั้งระบบป้องกันทางอากาศที่สำคัญ 2 แห่งทางตะวันตกของอิรักซึ่งมีหอเรดาห์ที่จะตรวจจับเครื่องบินที่จะเข้ามาโจมตี หอเหล่านั้นต้องถูกทำลายเพื่อเปิดช่องในข่ายป้องกันทางอากาศของอิรัก อาปาเช่มีเวลาเพียง 90 นาทีก่อนที่เครื่องบิน 700 ลำจากกองกำลังผสมจะทลวงช่องนี้เพื่อโจมตีเป้าหมายทางยุทธวิธีกว่า 500 แห่งทั่วอิรัก การทำลายฐานเรดาห์ทั้งสองแห่งมีกำหนดเวลาที่แน่นอน แม้เรดาห์อิรักจะค้นหาอย่างต่อเนื่องแต่มันก็ไม่อาจเห็นเฮลิคอปเตอร์ที่บินต่ำได้ เมื่อเข้าใกล้ที่หมาย ผู้ฝูงวิทยุเรียกคำสั่งสั้นๆ งานเลี้ยงใน 10 วิ อีก 10 วินาทีก่อนถึงกำหนด อาปาเช่ทั้ง 6 ก็ยิงจรวดเฮลไฟร์ เป้าหมายหลักของเฮลิคอปเตอร์แต่ละลำก็คือเป้าหมายรองของเครื่องคุ้มกัน พวกเขาไม่ยอมให้มีเรดาห์ไหนหลงเหลืออยู่ กระบวนการโจมตีทั้งหมดใช้เวลาราวๆ 10 นาทีเห็นจะได้ ด้วยเวลาเหลือเพียงไม่กี่วินาที อาคารเรดาห์สุดท้ายก็ถูกทำลาย นักบินผู้ฝูงอาปาเช่ก็วิทยุแจ้งรหัสกองกำลังผสมที่กำลังบินเข้ามา อาปาเช่ประสบความสำเร็จในระบบเตือนภัยล่วงหน้า พวกเขายังเป็นผู้เปิดฉากการยิงในปฏิบัติการพายุทะเลทราย ในไม่กี่นาทีแห่งความเป็นความตายนั้น ทำให้พวกเขาเป็นหน่วยหนึ่งที่สำคัญในการนำการโจมตี
การนำเฮลิคอปเตอร์มาใช้เป็นอาวุธสงคราม เริ่มนำมาเมื่อ 40 กว่าปีก่อน เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 และเพิ่งถูกใช้ในสงครามเกาหลีในช่วงต้นศตวรรษ 1950 โดยกองทัพสหรัฐใช้เป็นเครื่องลาดตะเวน มีไม่กี่คนที่เห็นว่ามันเป็นเครื่องจักรสงครามได้ ชื่อเสียงของเฮลิคอปเตอร์ได้มาจากการขนย้ายทหารบาดเจ็บกลับไปยังหน่วยพยาบาลโดยมากภายใต้การยิงของข้าศึก แล้วตำนานก็เริ่มขึ้น ในปี 1962 เฮลิคอปเตอร์จู่โจม Bell XH40 เข้าประจำการในแนวหน้ามันถูกเรียกว่า ฮิวอี้ มันสามารถบรรทุกทหารอาวุธเต็มพิกัดได้ 18 นาย ด้วยความเร็วเกือบ 140 ไมล์ต่อชั่วโมง ฮิวอี้สามารถนนำการสู้รบไปถึงประตูบ้านข้าศึก ด้วยปืนใหญ่ 7.62 กองทัพบกสหรัฐได้สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ยานเคลื่อนที่เร็วเอนกประสงค์ติดอาวุธ สำหรับข้าศึกเฮลิคอปเตอร์เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว สำหรับทหารฝ่ายเดียวกันมันเป็นเครื่องบินที่จำเป็นเพื่อพาเข้าสู่สงคราม ถึงยุคของเฮลิคอปเตอร์แล้ว เมื่อสงครามยุติเฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้เป็นสิ่งที่ยิ่งกว่ารถถังบินได้ เนื่องจากความเร็ว อำนาจการยิง ความคล่องตัว และจากการปฏิบัติการจากระดับยอดไม้
โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ช่วงทศวรรษที่ 1970 ตกอยู่ในความหวาดกลัวในความขัดแย้งของสงครามเย็น กองทัพสหรัฐเสนอให้บริษัทหนึ่งสร้างเฮลิคอปเตอร์ที่สามารถตอบโต้สหภาพโซเวียตได้ มีสองผู้เข้าชิงคือ BELL YAH-63 และ HUGES YAH-64 ทั้งคู่รวดเร็วและคงทนแต่ใครจะเป็นสุดยอด พวกเขามีเวลา 2 ปี เพื่อสร้างต้นแบบและเผชิญหน้าเพื่อการตัดสิน ใครจะเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ดีที่สุดในโลก ระหว่างต้นทศวรรษที่ 1970 อเมริกาเชื่อว่ามีการคุกคามจากสหภาพโซเวียตเพิ่มขึ้น เฮลิคอปเตอร์และรถถังของสหภาพโซเวียตนั้นทรงพลังและเกินกำลังกว่าฮิวอี้ของกองทัพสหรัฐ สหรัฐยกภาระให้กับผู้ผลิตเครื่องบินเพื่อสร้างเฮลิคอปเตอร์ที่ดีที่สุดในโลก บริษัทเครื่องบินสองแห่งตอบรับและแข่งกันสร้างเฮลิคอปเตอร์ให้เหนือกว่าของคู่แข่ง รางวัลคือสัญญาผลิตเฮลิคอปเตอร์แนวหน้าให้กองทัพสหรัฐ BELL YAH-63 และ HUGES YAH-64 ของ BELL คือ HUEY COBRA ที่ใหญ่และแข็งแรง แต่ของ HUGES เป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ออกแบบด้วยแนวคิดใหม่ทั้งหมด ด้วยความยาวทั้งลำ 58 ฟุต และน้ำหนักสูงสุด 21,000 ปอนด์ มันมีความสามารถบินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หุ้มด้วยเกราะไททาเนียม เครื่องยนต์กำลังแรงทังสองจาก General Electric ช่วยให้มันทำความเร็วสูงสุดกว่า 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ลูกเรือนั่งตามกันในห้องหุ้มไททาเนียม พลปืนนักบินผู้ช่วยอยู่ในที่นั่งด้านหน้า นักบินนั่งด้านหลัง ห้องนักบินอัดแน่นด้วยอุปกรณ์ซับซ้อนเพื่อบังคับอาวุธเรดาห์และนำร่อง มิตไซส์ จรวดและปืนใหญ่ 30 มม.
HUGES บินขึ้นได้ก่อนในวันที่ 30 กันยายน ปี 1975 มันขึ้นบินครั้งแรก อีกวันต่อมา BELL ขึ้นบินบ้าง การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น หลายเดือนถัดจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองถูกใช้อย่างเต็มที่เพื่อการประเมินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดวันที่ 10 ธันวาคม 1970 ได้ตัดสินให้ผู้ชนะคือ HUGES YAH-64 มันเป็นการแข่งขันที่สูสี แต่ HUGES ได้รับเลือกเพราะความสามารถในการอยู่รอด อำนาจการจู่โจม บินกลับและพาลูกเรือกลับฐานได้ HUGES ได้ผลิตอย่างเต็มกำลังในทันที 26 กันยายน 1982 หลังการบินทดสอบ 4,000 ชั่วโมง เฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ (APACHE) ที่ปฏิบัติการได้ลำแรก ถูกเข็นออกจากโรงงานในเมซา อริโซน่า ตามธรรมเนียมปฏิบัติของกองทัพบกสหรัฐที่จะตั้งชื่อเครื่องบินตามชนพิ้นเมืองอเมริกันมันจึงได้รับฉายาใหม่ AS-64 APACHE ในที่สุดกองทัพบกสหรัฐก็ได้เฮลิคอปเตอร์ตามที่ต้องการได้เป็นอย่างมาก และพร้อมแสดงให้โลกเห็นอำนาจอันน่าเกรงขามของเครื่องบินนี้ อาวุธหลักของเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ก็คือจรวดต่อต้านรถถังเฮลไฟร์ 18 ลูก จรวดนำวิถีด้วยเลเซอร์นี้มีพิสัย 5 ไมล์ มันยังบรรทุกกะเปาะจรวดไฮดรา 70 มม. จำนวน 19 ลูกได้สองกะเปาะ แม้จะไม่นำวิถี แต่จรวดเจาะเกราะแตกระเบิดนี้ถูกใช้กับเป้าหมายที่ซ่อนอยู่หลังพื้นที่หรือสิ่งกำบัง สุดท้ายมันมีปืน 30 มม.ที่น่ากลัวซึ่งสามารถยิงได้กว่า 600 นัดต่อนาที ไม่มีอะไรหนีรอดจากเฮลิคอปเตอร์นี้ได้
แม้กองทัพบกสหรัฐมีเฮลิคอปเตอร์ที่ดีที่สุดในโลก แต่มันก็บินด้วยนักบินชั้นยอด นักบินโจมตีสายพันธุ์พิเศษ คนที่ถูกมองหาให้มาเป็นนักบินอาปาเช่คือ คนหนุ่มสาวกร้าวแกร่งที่มีทักษะสูง รวมถึงทักษะการเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมการบินที่ซับซ้อน และจัดการระบบต่างๆได้เป็นอย่างดี เราต้องการคนที่มีสัญชาติญาณนักฆ่าเพราะมันเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตี และงานของพวกเขาก็คือออกไปสังหารข้าศึก สำหรับกลุ่มนักบินที่ได้รับหารคัดเลือก ความประทับใจแรกต่ออาปาเช่อยู่ในใจพวกเขาอยู่เสมอ มันดูน่าเกลียด ดูข่มขวัญ และยังดูน่ากลัวอีกด้วย พวกเขาเรียกมันว่าตักแตนตำข้าว แค่มองส่วนหน้าก็เหมือนกับตัวแทนยมฑูต พวกเขาอยากบินกับมัน นักเรียนที่มีสิทธิพิเศษให้บินกับสุดยอดเฮลิคอปเตอร์จะถูกฝึกให้เป็นนักบินชั้นยอดที่ ฟอร์ท รักเกอร์ (Fort Rucker) รัฐอลาบาม่า มันยากแต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้กองทัพทำอย่างดีที่สุดให้คุณพัฒนาและแกร่งขึ้น เมื่อคุณจบจากโรงเรียนและผ่านการรับรอง คุณจะสามารถออกไปใช้อาวุธเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว คนที่เป็นที่หนึ่งในชั้นเมื่อเรียงตามลำดับ คนที่เป็นที่หนึ่งจะได้เป็นคนเลือกแบบเฮลิคอปเตอร์ที่จะบิน
ระบบอาวุธของเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ทำงานได้จากทั้งนักบินและนักบินผู้ช่วย เป็นระบบค้นหาและระบบเป้าหมาย มันอยู่ที่จมูกเครื่องบินหมุนได้ 120 องศา ป้อนข้อมูลให้เป็นภาพจากกล้องอินฟราเรด หน้าจอความละเอียดสูงและเลเซอร์จับเป้า มันเป็นดวงตาให้กับอาปาเช่ ภาพเหล่านั้นถูกแสดงที่จอของลูกเรือหรือ SDU Helmet Display Unit เป็นจอแสดงภาพติดหมวก เป็นจอขนาด1 นิ้ว อยู่ที่ตาข้างขวาของนักบิน เราเรียกมันว่าสัตว์ประหลาดตาเขียว ถ้าคุณใส่มันกล้ามเนื้อตาจะทำงานหนักมาก พอบินเสร็จคุณจะปวดตาหนึบๆเชียวล่ะ มันเป็นระบบที่จะท้าทายให้เราเอาชนะมัน เป็นเรื่องยากที่จะบินอาปาเช่โดยใช้มัน มันเหมือนกับเอากระจกเขียวมาติดกับแกนกระดาษชำระ แล้วมองผ่านมันพร้อมกับขับรถไปบนทางด่วนด้วยความเร็ว 100 ไมล์ต่อชั่วโมง และพยายามจะมองว่าคุณจะเห็นอะไรได้บ้างในเวลากลางคืน และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือปืนสามารถทำงานร่วมกับจอภาพติดหมวก มันยิงได้โดยไม่ต้องเล็งหันหัวเครื่องบิน ที่แต่ละข้างของหมวกนักบิน มีเซ็นเซอร์ที่ส่งสัญญาณโดยใช้ลำแสงอินฟราเรด ทุกการเคลื่อนไหวของนักบินถูกจับโดยลำแสงเหล่านั้น และมันก็จะส่งสัญญาณไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อสั่งให้ปืนใหญ่หมุน นักบินมองไปทางไหนปืนจะเล็งไปทางนั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่รวมไว้ในอุปกรณ์อันน่าทึ่งนี้คืออุปกรณ์นำร่องอันทันสมัย ระบบต่อต้านอิเล็กทรอนิคส์และเรดาห์ เมื่อนักบินจบหลักสูตรและการฝึกอย่างครบถ้วน พวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักบินที่พิเศษยิ่งของโลก เมื่อนักบินอาปาเช่จบจากโรงเรียนการบิน พวกเขาคือนักบินที่ถูกฝึกมาอย่างเป็นพิเศษ อาปาเช่จำนวนมากเข้าประจำการอย่างรวดเร็ว นักบินต้องพิสูจน์ความแกร่งของตนเอง ในเดือนธันวาคม 1989 อาปาเช่ได้เผชิญกับอันตรายเป็นครั้งแรก ในปลายทศวรรษที่ 1980 อาปาเช่เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่อันตรายที่สุดในโลก กองทัพยังมีเครื่องบินแบบนี้ไม่เพียงพอ มันยังไม่เคยถูกใช้ในสนามรบจนกระทั่งในเดือนธันวาคม 1989 ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและสาธารณรัฐปานามาได้มาถึงจุดแตกหักภายใต้การนำของผู้นำเผด็จการ มานูเอล อันโตนิโอ โนเรียกา ความกดดันเพิ่มขึ้นและจบลงด้วยการยิงนาวิกโยธินสหรัฐ ประธานาธิบดี จอร์จ บุช โต้กลับโดยการประกาศสงคราม โดยมีคำแถลงการณ์ว่า "ไม่มีความรับผิดชอบใดของข้าพเจ้ายิ่งใหญ่ไปกว่าชีวิตของประชาชนคนอเมริกัน ข้าพเจ้าขอสั่งการให้กองกำลังสหรัฐปกป้องชีวิตประชาชนอเมริกันในปานามา และนำมาซึ่งความยุติธรรมให้กับประเทศของเรา" ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ส่งกองกำลังติดอาวุธเข้าไปกว่า 27,000 นาย และอาปาเช่ได้เข้าร่วมด้วย หน้าที่ของพวกเขาคือบินเข้าไปโดยกำบังด้วยความมืดและให้ยิงสนับสนุนทหารภาคพื้น ระหว่างการต่อสู้อย่างรุนแรงสั้นๆ อาปาเช่ปล่อยจรวดเฮลไฟร์และไฮดราเข้าสู่อาคารติดอาวุธหนักที่ล้อมรอบที่ทำการใหญ่ของโนเรียกา เจ็ดวันต่อมาโนเรียกาถูกจับกุม อาปาเช่โจมตีได้สำเร็จ พวกมันได้รับการพิสูจน์ในสนามรบโดยเฉพาะการปฏิบัติการกลางคืน ความสามารถยิงเฮลไฟร์ไปยังเป้าหมายที่ป้องกันอย่างเข้มแข็ง เป็นข้อมูลที่มีคุณค่าต่อผู้บัญชาการเพื่อเป็นแนวทางการเอาเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ไปใช้ในอนาคต
ข้อมูลนั้นถูกนำมาใช้ในปี 1991 เมื่ออาปาเช่ถูกนำมาเรียกใช้อีกครั้งเมื่อ 17 มกราคม ปฏิบัติการพายุทะเลทรายได้เริ่มขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จในภารกิจในการถล่มหอเรดาห์ในอิรัก ไม่มีภารกิจใดไม่มีอาปาเช่ จากการสนับสนุนทหารราบในการทำลายรถถัง อาปาเช่รับบทหนักเสมอ โดยไม่เคยสูญเสียจากการต่อสู้ แต่อาปาเช่ก็ต้องถูกชดใช้ในความสำเร็จ มันถูกออกแบบมาเพื่อสงครามในยุโรป ความร้อนและฝุ่นในทะเลทรายทำความปวดหัวให้กับหัวหน้าลูกเรือและช่างซ่อมบำรุง เมื่อต้องบินในทะเลทรายฝุ่นเม็ดทรายจะฟุ้งปลิวขึ้นมาเสียดสีกับใบพัด กระจกหน้า ช่างซ่อมบำรุงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้อาปาเช่พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา 27 กุมภาพันธ์ อาปาเช่โจมตีถนนบาสรา ร่วมกับเครื่องบินโจมตี A10 พวกเขาทำลายขบวนรถของอิรัก พวกเขายิงมิสไซส์ จรวด และปืนครั้งแล้วครั้งเล่าใส่ยานยนต์อิรัก ทำให้ทหารราบไม่มีที่หลบซ่อนให้วิ่งหนี เมื่อการโจมตีสิ้นสุดยานยนต์อิรักนับพันถูกทำลาย ทหารมากมายถูกสังหาร บาสราจะเป็นที่จดจำกันว่าเป็นทางด่วนมรณะ อาปาเช่กลายเป็นเครื่องบินที่น่ากลัวที่สุดในสงครามและมันเป็นที่จดจำของผู้คน รถถัง 278 คัน ยานยนต์เบาและยานเกราะ 500 คันถูกทำลาย ฐานปืนใหญ่ 120 แห่ง และฐานจรวดยิงสู่อากาศ 42 แห่งถูกทำลาย มันยังช่วยจับกุมทหารอิรักกว่า 4,700 นาย อาปาเช่กลายเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีน่าหวาดกลัวที่สุดในโลก และชื่อเสียงของมันยิ่งดังขึ้นหลังเหตุการณ์ 11 กันยา มันพุ่งออกไปเหมือนเทพแห่งการล้างแค้นต่อผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน
อาปาเช่เป็นตำนานความสำเร็จแห่งสมครามอ่าว ไม่ว่าผู้นำทหารต้องการอะไรอาปาเช่ตอบสนองได้เสมอ มันไม่ได้เป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร มันยังถูกใช้เพื่อสร้างสันติภาพ ในดินแดนที่เคยเป็นยูโกสลาเวีย อาปาเช่ถูกเรียกให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังนาโต้ เพื่อเรียกสันติภาพระหว่างสงครามความขัดแย้งระหว่างชาวเซิร์บและมุสลิมในบอสเนียและโคโซโว และหลังเหตุการณ์ 11 กันยา ขณะที่โลกตะลึงงัน อาปาเช่ได้ถูกเตรียมพร้อมเพื่อส่งไปยังอัฟกานิสถาน ตุลาคม 2001 อาปาเช่ได้ทำในสิ่งที่มันทำได้ดี สนับสนุนทหารราบในการเคลื่อนทัพเข้าสู่เมืองคาบูล และมันไม่ใช่การเดินเล่นในสวน ตาลีบันได้ตอบโต้อย่างรุนแรง ในระหว่างปฏิบัติการอนาคอนด้า อาปาเช่ได้เข้าร่วมในการสู้รบรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง มีนาคม 2002 ตาลีบันถูกผลักดันจากที่ราบอัฟกานิสถาน พวกเขาเจาะที่ว่างในเทือกเขาร่วมกับพวกอัลเคดา สิ่งที่ยากคือการค้นหาขณะที่คุณอยู่เหนือภูเขา ความพยายามดึงตาลีบันออกจากถ้ำทำให้เกิดการสู้รบอย่างนองเลือด ทหารราบสหรัฐไม่ต่ำกว่า 23 คนตะโกนใส่วิทยุในคลื่นความถี่ต่างกัน ร้องขอการสนับสนุนจากอาปาเช่ในเวลาเดียวกัน อาปาเช่โจมตีเป้าหมายขณะที่ข้าศึกก็อัดกลับด้วยอาวุธหนักอัตโนมัติหรือปืนกล สำหรับฝ่ายป้องกันของตาลีบันในถ้ำ อาปาเช่เป็นอำนาจอันน่ากลัว แต่สำหรับทหารราบสหรัฐบนพื้นมันคือเทพเจ้าคุ้มครอง เพราะลูกเรือของเฮลิคอปเตอร์แต่ละลำมีความผูกพันธ์กันเป็นพิเศษ ระหว่างภารกิจหนึ่งซึ่งให้การสนับสนุนกองกำลังพิเศษบนพื้นดิน อาปาเช่ลำหนึ่งถูกยิงตกด้วย RPG
ขณะที่กำลังบินเกาะกลุ่มทางขวา เพื่อยิงจรวด 25 มม. แล้วถอนตัวจากตำแหน่ง แล้วก็ไล่ล่าข้าศึกไปตามภูเขา ด้วยเหตุบางอย่างขณะบินผ่านครั้งที่สาม อาปาเช่ลำหนึ่งถูกยิงเข้าที่ห้องนักบินด้วย RPG ทำให้ระบบส่งกำลังเสียหายด้วย เมื่อรู้ว่าถูกยิงเสียหายหนัก อาปาเช่ทั้งสองลำมุ่งหน้ากลับฐาน แต่ก็ไปได้ไม่ไกล ในห้องนักบินของเครื่องหนึ่ง ไฟเตือนสว่างขึ้นระบุว่าไม่มีน้ำมันหล่อลื่นอยู่ในระบบส่งกำลัง ทั้งที่ยังอยู่ในพื้นที่ของอัลเคดา อาปาเช่ทั้งสองลำร่อนลงที่ริมแม่น้ำ ทุกอย่างมันฉุกละหุกมาก เมื่อลงจอดก็เติมน้ำมันหล่อลื่นลงไปเล็กน้อย อาปาเช่ถูกออกแบบให้บินโดยไม่มีน้ำมันหล่อลื่นได้ในเวลาจำกัด และพวกเขาจะพามันกลับฐานก่อนเครื่องยนต์พังได้หรือไม่ ผู้บังคับการอาปาเช่อีกลำตัดสินใจว่าเนื่องจากเขามีประสบการณ์มากกว่า เขาจะเป็นผู้บินเฮลิคอปเตอร์ที่เสียหายกลับฐาน เขาบินไปได้ 26 นาทีโดยไม่มีน้ำมันหล่อลื่นในระบบส่งกำลังและในที่สุดก็พาเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำกลับถึงฐานได้ ไม่ถึง 1 ปีต่อมา อาปาเช่ต้องเผชิญความท้าทายยิ่งขึ้น
หลังภารกิจในอัฟกานิสถาน เป็นที่รู้กันว่าอาปาเช่มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน แต่อาปาเช่มีอายุ 20 กว่าปีแล้ว กองทัพสหรัฐมีความเห็นว่ามันควรได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น และอาปาเช่แบบใหม่ได้ปรากฏตัว AH-64D Longbow Apache ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เมื่อคุณดูในห้องนักบินคุณจะเห็นจอทีวีสองจอ ประโยชน์สำคัญของรุ่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ ข้อมูลของสถานการณ์ เราสามารถที่จะป้อนเส้นทาง สามารถใส่ตำแหน่งของข้าศึก ใส่พิกัดฝ่ายเรา และเมื่อบินออกไปในตำแหน่งที่มีข้าศึก คุณก็สามารถหลบได้ และอาจมีเวลาเพิ่มขึ้น 2-3 วินาที เพื่อดูว่าตอนนี้บินอยู่ตำแหน่งไหน และฝ่ายข้าศึกอยู่ตำแหน่งใด เป็นการเตรียมพร้อมได้อย่างดีทีเดียว และมันยังมีจรวดเฮลไฟร์ ที่สามารถล็อคเป้ายิงแล้ว ไม่ต้องดูผลของจรวดนั้นเลย รุ่น Longbow มีระบบเรดาห์ที่พัฒนาไปอย่างมาก ทำให้สามารถสู้รบได้ในสภาพอากาศเลวร้าย นอกจากนั้นยังสามารถตรวจจับเป้าหมายได้ 128 เป้าหมาย จัดลำดับ 16 เป้าหมายที่มีความอันตรายส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ไปยังเครื่องบินลำอื่น และเริ่มการโจมตีอย่างแม่นยำ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 30 วินาที
ปัจจุบัน Longbow เป็นระบบอาวุธที่แพงและทันสมัยที่สุดที่ใช้งานในสหรัฐ และ 20 มีนาคม 2003 ปฏิบัติการ Iraq Freedom ได้เริ่มต้นขึ้น เรื่องเล่าขานของความน่ากลัวของอาปาเช่ก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการร้องขอความช่วยเหลือหรือการคุ้มกัน VIP ไม่มีการโจมตีสักครั้งจากข้าศึก เพราะอาปาเช่ระบุพิกัดได้แม่นและมีอำนาจทำลายสูง แต่มันก็ไม่ได้เป็นฝ่ายโจมตีเพีบงอย่างเดียว ข้าศึกสามารถโต้กลับอย่างรุนแรง เช่นในคืนวันที่ 23 มีนาคม 2003 ผู้วางแผนยุทธการรู้ว่าถ้าจะยึดครองแบกแดดต้องกำจัดหน่วยป้องกันสาธารณรัฐอิรัก จึงวางแผนโจมตีจากการบินระยะต่ำ ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ตัวเมืองแบกแดดที่มีประชากรหนาแน่น อาปาเช่ก็พบกับการยิงต้าน เป็นการยิงที่ไม่มีการเล็ง โดยมากมาจากหลังคาบ้าน พื้นถนนและอาคารบ้านเรือน เป็นการยิงจากอาวุธทุกชนิดที่มี ทั้งปืนเล็กปืนกลและ RPG อาปาเช่แทบทุกลำเสียหายจากการยิง แต่ก็สามารถกลับถึงฐานได้อย่างปลอดภัย ต้องยกให้กับความคงทนของเครื่องบินนี้ อาปาเช่ถูกสร้างขึ้นมากกว่า 1,300 เครื่อง ปัจจุบันมี 10 ประเทศมีอาปาเช่เป็นเครื่องบินโจมตีหลัก กองทัพสหรัฐเห็นว่ามันยอดเยี่ยมและจะมีไว้ใช้งานจนถึงปี 2030 สำหรับนักบินที่บินมันเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่จะอยู่ในใจพวกเขาคลอดกาล