“ดูไบ” หนึ่งในแคว้นที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ประกาศในวันอาทิตย์ (5) เปิดตัวแผนผลักดันตัวเองเป็น “ศูนย์กลางอาหารฮาลาลของโลก” พร้อมเดินหน้าตั้งศูนย์รับรองคุณภาพอาหารฮาลาลสากล
รายงานข่าวซึ่งอ้างฮุสเซน นัสเซอร์ ลูทาห์ ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานบริหารกิจการเทศบาลนครดูไบ ระบุว่า ดูไบเตรียมจัดตั้งคณะทำงานเพื่อผลักดันให้ดูไบก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางด้านฮาลาล” ของโลก ซึ่งครอบคลุมถึงการจัดตั้งสถาบันนานาชาติเพื่อให้การรับรองคุณภาพแก่ผลิตภัณฑ์ฮาลาล
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นหลังจากที่ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม เจ้าผู้ครองรัฐของดูไบ ทรงมีดำริให้เอมิเรตส์ในความปกครองของพระองค์แห่งนี้ที่เป็นบ้านของประชากรราว 2.1 ล้านคน กลายสภาพเป็น “เมืองหลวงทางด้านเศรษฐกิจของโลกมุสลิม” ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว รวมถึงการเป็นศูนย์กลางด้านอาหารฮาลาล แห่งแรกและแห่งเดียวของโลก แม้ก่อนหน้านี้จะมีหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ที่เคยมีความพยายามผลักดันให้ประเทศของตัวเองเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพอาหารฮาลาลมาก่อนก็ตาม
ทั้งนี้ มีรายงานว่า มูลค่าโดยรวมทางเศรษฐกิจของโลกมุสลิมนั้นสูงถึงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ และมีตัวเลขการเติบโตที่สูงถึงราว 20-25 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ขณะที่จำนวนประชากรโลกที่เป็นชาวมุสลิม ได้เพิ่มจำนวนสูงขึ้นเป็นมากกว่า 1,600 ล้านคนแล้วในเวลานี้
ดังนั้น หากดูไบประสบความสำเร็จในการผลักดันตนเองให้เป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลของโลก ย่อมหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะหลั่งไหลเข้าสู่เอมิเรตส์แห่งนี้ในแต่ละปี และอาจส่งผลกระทบที่ทำให้ในอนาคต บรรดาผู้ผลิตสินค้าฮาลาลในประเทศต่างๆ ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากทางดูไบเสียก่อน จึงจะมีสิทธิ์นำผลิตภัณฑ์ฮาลาลของตนออกวางจำหน่ายในตลาดโลก
ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม เจ้าผู้ครองรัฐของดูไบ ต้องการผลักดันดูไบให้เป็นเมืองหลวงทางด้านเศรษฐกิจของโลกมุสลิมและเป็นศูนย์กลางด้าน "ฮาลาล"
ฮุสเซน นัสเซอร์ ลูทาห์ ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานบริหารกิจการเทศบาลนครดูไบ
หมายเหตุ
ตราฮาลาล คือตราที่ติดบนสลากผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อบ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นที่ฮะลาล (อนุมัติ) สำหรับมุสลิมใช้บริโภค โดยจะมีคำว่า "ฮาลาล" (อาหรับ: حلال) เป็นภาษาอาหรับประทับอยู่ ผู้ออกตราฮาลาลในประเทศไทยคือคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
ที่มา: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001518