เป็นประวัติกาล .. เป็นครั้งแรกเป็นบริษัทแรกในเวียดนามที่สามารถส่งออกไข่นกกระทาเข้าตลาดญี่ปุ่นได้หลังพยายามอย่างหนักเป็นเวลา 4 ปี. -- ภาพ: TuoiTreOnline.
ฟาร์มเลี้ยงแห่งหนึ่งใน จ.เตี่ยนซยาง ของเวียดนาม สามารถส่งออกไข่นกกระทาเข้าตลาดญี่ปุ่นได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่มีใครคาดคิดกันมาก่อน แต่หลังจากพยายามมาเป็นเวลา 4 ปี ไข่ใบเล็กๆ ของนกตัวเล็กๆ ก็กลายเป็นสินค้าทำเงินทำทองได้อย่างงาม สื่อของทางการรายงาน
บริษัทงเวียนโห่ฟาร์ม และเตี่ยนซยางฟู้ดคอร์ป (Nguyen Ho Farm and Tien Giang Food Corp) ซึ่งทำธุรกิจส่งออกผลไม้ ได้ทำฟาร์มเลี้ยงนกกระทาขึ้นมาหลังจากได้พบหารือกับหุ้นส่วนชาวญี่ปุ่น จากนั้นได้ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของตลาดเอเชียตะวันออกแห่งนี้ที่ไม่ค่อยจะเหมือนใครๆ และในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ เงื่อนไขสำคัญยิ่งยวดประการหนึ่งก็คือ ต้องหาทางทำให้ไข่แดงอยู่กึ่งกลางไข่ขาว หนังสือพืมพ์เตื่อยแจ๋รายงานในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนาม
นายเจิน งเวียน โห่ (Tran Nguyen Ho) เจ้าของฟาร์มกล่าวว่า ไข่นกกระทา จำนวน 1.3 ล้านกระป๋อง บรรจุในคอนเทนเน่อร์กำลังจะถึงเมืองท่าปลายทางในญี่ปุ่น และบริษัทเร่งจัดเตรียมส่งลอตที่ 2 อีก 1 คอนเทนเนอร์ ให้แล้วเสร็จก่อนเทศกาลตรุษที่จะถึง
นายโห่ บอกแก่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า ตลาดญี่ปุ่นต้องการไข่นกกระทาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นอาหารประจำครอบครัวชนิดหนึ่งบริโภคกันทั้งไข่ดิบ และไข่สุก รวมทั้งนิยมนำไปทำทามาโกะ (Tamago) อาหารยอดนิยมที่คล้ายๆ กับไข่เจียวซ้อนกันหลายๆ ชั้น บริโภคกับซูชิกับอาหารชุดกลางวันหรือ “เบ็นโตะ” รวมทั้งใช้ในบะหมี่ประเภทราเม็นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันฟาร์มของนายโห่ เป็นเพียงแห่งเดียวที่ส่งออกไข่นกกระทาบรรจุกระป๋องสู่ตลาดญี่ปุ่น และยังผลิตได้ในปริมาณที่จำกัด ซึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า น่าเสียดายโอกาสเช่นนี้เป็นอย่างมาก
เขากล่าวอีกว่า 4 ปีที่ผ่านมา เป็น 4 ปีแห่งการทำงานร่วมกับหุ้นส่วนฝ่ายญี่ปุ่น มีการฝึกอบรมประชุมสัมมนา รวมทั้งการให้คำปรึกษาอย่างเข้างวด จึงทำให้มาถึงวันนี้ได้
ปัจจุบันเกษตรกรในหลายประเทศย่านนี้ทำฟาร์มเพาะเลี้ยงนกกระทาผลิตไข่ออกสู่ตลาดในประเทศเป็นหลัก รวมทั้งประเทศไทย ที่เพาะเลี้ยงกันมากในแถบจังหวัดภาคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน จ.อ่างทอง แต่ฟาร์มนกกระทาก็มีกระจัดกระจายอยู่ใทุกภูมิภาคของประเทศ และยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งเป็นสินค้าออก
ที่มา: http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001392