เป็นเรื่องน่าแปลกที่ชีวิตคนเราอุดมไปด้วยความทุกข์สารพัด สารพัน จิตใจไม่ต่างอะไรกับใยแมงมุม ที่คอยเป็นกับดักความทุกข์ซึ่งวนเวียนเข้ามาในรูปแบบต่างๆ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ไหนจะทุกข์เพราะความไม่มีจะกิน ทุกข์เพราะยังไม่พอ ทุกข์เพราะไม่รู้ เหล่านี้เป็นต้นเหตุให้จิตใจเกิดทุกข์ได้ตลอดเวลา ตามหลักพุทธศาสนาถือว่าความทุกข์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มาจากความอยากทั้งสิ้น
แต่บางครั้งความทุกข์ไม่ได้มาจากกิเลสภายในใจเราเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดจากมลพิษที่มาจากคนรอบข้างที่สร้างความขุ่นเคืองใจให้เราอย่าง ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่ว่าด้วยทางวาจา หรือจากการกระทำละเมิดที่เป็นผลเสียหายต่อเราโดยตรง หลายคนฝังใจเจ็บกับการที่ใครมานินทาว่าร้าย ถูกเจ้านายตำหนิเอาด้วยถ้อยคำรุนแรง พ่อแม่ดุด่า หรือเพื่อนฝูงกล่าววิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดีไม่งาม แล้วเก็บไปคิดเป็นเดือดเป็นแค้น นอนไม่หลับ เพราะความทุกข์มันฝังใจไม่ยอมเหือดหาย บางรายถึงกับฟ้องร้องเป็นคดีความกันในศาล สู้กันจนหมดเนื้อหมดตัว เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และเสียความรู้สึกไปตามๆ กัน แถมบางทีคดีจบแล้วแต่ความแค้นไม่จบ มันยังคงดำรงอยู่และกัดกินใจไปเรื่อยๆ คู่กรณีบางคู่ถึงขั้นตัดญาติขาดมิตรไม่ยอมไปเผาผีกันเลยทีเดียว และยังมีไม่น้อยที่ตัดสินล้างแค้นกันด้วยลูกปืน
ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะขจัดทุกข์อันเนื่องมาจากความโกรธออกไปจาก จิตใจ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนทำใจลำบากและยากที่จะฝ่าข้ามไปได้
ทุกคนรู้ดีว่าความโกรธนั้นมีแต่ผลเสีย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพจนปราศจากความสุขในชีวิต ดังนั้นหากไม่รู้จักคำว่า “อภัย” ดังหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “พึ่งชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ” ก็เป็นเรื่องยากที่จะปล่อยวางลงได้ พูดแบบตรงไปตรงมาก็คือ ยอมๆ เสียบ้างนั่นเอง
อย่างกรณีคนในชาติเราเอง ที่ตอนนี้มีความแตกแยกทางการเมือง หลายปีมาแล้วประเทศไทยจมปลักอยู่ในโคลนตมแห่งความขัดแย้ง และการแย่งชิงผลประโยชน์ จึงมีหลายฝ่ายพยายามหาทางออกด้วยวิธีการปรองดอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าให้อภัยกันโดยยึดเอาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ความสามัคคีอันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็น่าจะสมานรอยแผลจิตใจของคนในแผ่นดิน ได้ แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยังแข็งกร้าวใส่กันอย่างไม่ยอมลดราวาศอก ก็คงยากที่จะเห็นความปรองดองของคนในชาติลงเอยด้วยดี
จากหนังสือ สุขสร้างได้ด้วยใจเรา สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์