ในยุคกรีกโบราณ มีเรื่องราวกล่าวขานถึง กองกำลังศักดิ์สิทธิ์แห่งนครธีบส์ ซึ่งความห้าวหาญของเหล่านักรบในกองกำลังนี้ ได้เป็นที่ครั่นคร้ามแก่เหล่าข้าศึกศัตรู ทว่าทหารทุกคนในกองกำลังนี้ล้วนแต่เป็นชายที่รักร่วมเพศทั้งสิ้นและบุรุษแต่ ละคนต่างก็มีคู่รักของตนอยู่ร่วมทัพเดียวกับตนด้วย โดย การตั้งกองกำลังนี้ขึ้นมาอยู่บนบรรทัดฐานที่ว่า นักรบแต่ละคนจะยอมตายเพื่อคนรักที่อยู่ในกองทัพและจะไม่ยอมทิ้งคู่รักของเขา อย่างเด็ดขาดในบรรดาอารยธรรมโบราณต่างๆ อารยธรรมกรีกดูจะเป็นอารยธรรมเดียวที่ปรากฏเรื่องราวของความรักในเพศเดียว กันให้เห็นมากที่สุด โดยเฉพาะความรักระหว่างชายกับชาย ทั้งนี้ อริสโตเติล นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในสมัยกรีกโบราณ เคยกล่าวไว้ว่า ความรักที่บุรุษมีให้กันนั้นเป็นสิ่งที่สูงส่ง เนื่องจากในยามที่บุรุษมีความเสน่หาต่อกันนั้น พวกเขาได้หลอมรวมสติปัญญาอันสูงส่งของทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกันด้วย
สาเหตุสำคัญที่ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ความรักระหว่างชายกับชายนั้นเป็นสิ่งที่สูงส่ง ก็เนื่องด้วยว่า ในยุคกรีกโบราณนั้น ชาวกรีกให้คุณค่าของความเป็นคน สำหรับเพศหญิงและชายไม่เท่าเทียมกัน โดยชาวกรีกถือว่า สตรีนั้นต่ำต้อย ด้อยค่ากว่าบุรุษมากมายนักและความรักของชายกับหญิงมีเพียงเพื่อการสืบทอด เผ่าพันธุ์เป็นสำคัญ แต่จะไม่ถือว่าเป็นความรักอันสูงค่าเนื่องด้วยคู่รักทั้งสองไม่มีความเท่า เทียมกัน ดังนั้นหากว่าผู้ชายต้องการจะมีความรักอันสูงค่า ก็มีแต่เพียงบุรุษด้วยกันเท่านั้น ที่มีควรค่าพอที่จะทำให้เป็นความรักอันสูงค่าได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับนิยามความรักของชาวกรีก ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องของกามารมณ์มาเกี่ยวข้องด้วยเสมอไป หลายกรณีที่ความรักระหว่างบุรุษนั้น เกิดจากความนิยมชมชอบในสติปัญญา ความสามารถของกันละกัน เหมือนดังเช่นความรักของชายชาตินักรบที่บูชาในความกล้าหาญและเสียสละของอีก ฝ่าย หรือ กล่าวให้ชัดคือ เป็นความรักที่ประกอบด้วยมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างเพื่อนนั่นเอง
และด้วยพื้นฐานของความรักอันสูงส่งตามแบบกรีกนี่เอง ที่ทำให้นครธีบส์ได้จัดตั้งกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้น โดยทหารทุกคนในกองกำลังนี้ ต่างก็มีคู่รักของตัวเองอยู่ในกองกำลังเดียวกันด้วย พวกเขาจะใช้ชีวิตในค่ายด้วยกัน ฝึกรบด้วยกันและยามที่เข้าต่อสู้กับศัตรู ต่างคนต่างก็จะไม่ทอดทิ้งกันและด้วยสาเหตุนี้เอง ที่ทำให้กองกำลังนี้กลายเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น โดยทุกครั้งที่เข้าประจัญบานกับศัตรู พวกเขาจะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
อวสานของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ได้มาถึง เมื่อกองทัพมาซิโดเนียของพระเจ้าฟิลิปยกเข้ารุกรานนครธีบส์และพันธมิตรชาวก รีกอื่นๆ การประจัญบานครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ทุ่งบีโอเชีย กองทัพพันธมิตรชาวกรีกต่อสู้กับผู้รุกรานจากแดนเหนืออย่างสุดกำลัง ทว่าไม่อาจต้านทานแสนยานุภาพและยุทธวิธีรบของทัพมาซิโดเนียได้ ทำให้ในที่สุด กองทัพพันธมิตรกรีกก็แตกพ่ายและหนีออกจากสมรภูมิ ยกเว้นก็แต่กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ของชาวธีบส์เท่านั้น ที่ปักหลักสู๋จนตัวตายทั้งกองทัพ
ซากศพของพวกเขาถูกฝังรวมกันในหลุมใหญ่และมีศิลาวางทับอยู่ ส่วนที่ข้างบนหลุมศพนั้นมีรูปสลักของสิงโตที่ทำด้วยหินตั้งอยู่ ซึ่งถือเป็นการฝังศพอย่างมีเกียรติ เนื่องจากผู้ชนะชาวมาซิโดเนียรู้สึกนับถือในความกล้าหาญของนักรบแห่งนคร ธีบส์ นอกจากนี้ วีรกรรมของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ ยังเป็นที่ประทับใจของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ผู้ที่ในเวลาต่อมา คือ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นอย่างมากอีกด้วย