ตะลึง! พบพระพุทธรูปทองคำโบราณ วัดดังกลางกรุงย่านฝั่งธนฯ
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 28 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายสมศักดิ์ เกิดเต็มภูมิ อายุ 61 ปี กรรมการวัดเทพนารี ซอยจรัญสนิทวงศ์ 68 แขวงและเขตบางพลัด กทม.ว่า ตรวจพบพระพุทธรูปเนื้อทองคำและวัตถุโบราณอายุกว่า 200 ปี ประดิษฐานอยู่ในวิหารของทางวัดโดยบังเอิญ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าอาวาสและคณะสงฆ์ อยู่ระหว่างแจ้งให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางมาสำรวจก่อนแจ้งให้กรมศิลปากรทำการขึ้นทะเบียนวัตถุโบราณตามกฎหมายอย่างถูกต้อง
เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบพบ พระครูปลัดนายกวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดเทพนารี พร้อมหมู่สงฆ์และคณะกรรมการบริหารวัดกำลังช่วยกันปัดกวาดรอบๆ พระวิหารซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับพระอุโบสถ จากการสอบถาม พระครูปลัดนายกวัฒน์ ได้ยอมรับว่า มีการพบพระพุทธรูปทองคำและไหระฆังหลายใบถูกซ่อนในฐานชุกชีใต้ฐานพระพุทธรูปจริง ขณะนี้ได้นำเรียนให้เจ้าคณะจังหวัด ทำหนังสือไปถึงกรมศิลปากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว เพื่อหาทางอนุรักษ์และรักษาสมบัติล้ำค่าไว้ให้ลูกหลานชาวไทยได้สักการะต่อไป
ต่อมาท่านเจ้าอาวาสได้เมตตาพาผู้สื่อข่าวเข้าไปสำรวจในพระวิหารชั้นเดียว พื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา พบพระพุทธรูปเนื้อปูนปาสเตอร์ปิดทองคำเปลว ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในพระหาร โดยพระประธานองค์ดังกล่าวเป็นพระปางมารวิชัย ศิลปะสมัยสุโขทัย พระพักตร์อิ่มเอิบตามคุณลักษณะหน้านาง คางหยัก พระเนตรมองต่ำลงมาที่ฐานชุกชี หน้าตักวัดแล้วกว้าง 59 นิ้ว ความสูงจากแท่นประดิษฐานฐานถึงพระเกศ 79 นิ้ว โดยด้านหลังบริเวณสะบักขวาขององค์พระมีรอยเจาะปูนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำให้มองเห็นเนื้อทองคำเหลืองอร่ามอยู่ภายใน
นอกจากนี้บริเวณฐานชุกชี ซึ่งอยู่ด้านหน้าแท่นประดิษฐานยังพบรอยขุดลงไปด้านล่าง เผยให้เห็นไหระฆังโบราณซุกเอาไว้ภายใน จำนวน 6 ใบ โดยมีไหระฆังใบใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 27 นิ้ว สูง 27 นิ้ว จำนวน 1 ใบ ตั้งอยู่ในหลุมยังไม่สามารถนำขึ้นมาได้ ส่วนไหระฆังขนาดเล็กอีก 5 ใบ เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 16 นิ้ว สูง 8 นิ้ว นำขึ้นมาตรวจสอบแล้วพบว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์แต่ไม่มีวัตถุมงคลหรือ ทรัพย์สมบัติใดซุกซ่อนอยู่ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ของทางวัดจึงนำมารวบรวมเอาไว้ บริเวณด้านหน้าองค์พระประธาน
จากการสอบถาม พระครูปลัดนายกวัฒน์ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า พระประธานในพระวิหารเป็นพระที่อยู่คู่กันกับวัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2329 แรกเริ่มนั้นพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวไม่มีชื่อแต่อย่างใดเนื่องจากเป็นพระที่ ตาเห็นเพียงเนื้อปูนปาสเตอร์แลดูไม่ค่อยสวยงาม กระทั่งประมาณเกือบ 30 ปี ที่แล้วหมู่สงฆ์ได้ช่วยกันขัดผิวปูนและปิดทองคำเปลวให้ใหม่จนเหลืองอร่าม จึงพากันขนานนามให้ว่าหลวงพ่อทองคำ ต่อมาเมื่อ ปี พ.ศ.2554 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ทำให้วัดได้รับผลกระทบมีน้ำทะลักเข้ากัดเซาะใต้ฐาน ชุกชีตรงแท่นประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ ทำให้ฐานชุกชีดังกล่าวเสียหายรวมถึงองค์พระหลวงพ่อทองคำด้วย หมู่สงฆ์และกรรมการทางวัดจึงพากันเข้าไปบูรณะพระวิหารอีกครั้ง
แต่การบูรณะครั้งนี้พบสิ่งแปลกประหลาด เพราะพบว่าใต้ฐานชุกชีมีโพรงเหมือนไว้เก็บวัตถุบางอย่างอยู่ภายใน ส่วนองค์พระด้านหลังก็หลุดร่อนเมื่อใช้มือเคาะแล้วพบว่ามีเสียงเป็นโพรงภายในเช่นกัน ไม่น่าจะใช่เนื้อปูนทั้งแท่งอย่างที่ตาเคยเห็นแต่อย่างใด พระครูปลัดนายกวัฒน์ บอกอีกว่า จนเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมาอาตมาตัดสินใจประชุมคณะสงฆ์และกรรมการวัดเพื่อหาข้อสรุปทำการตรวจสอบข้อสงสัยอีกครั้ง จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญนำเครื่องมือสแกนโลหะมาสแกนองค์พระหลวงพ่อทองคำ ก็พบด้านในมีโลหะอยู่จริง จากนั้นจึงทำพิธีขอขมาเพื่อเจาะองค์พระด้านหลังนำเศษโลหะไปตรวจพิสูจน์ที่ ร้านทองย่านวงเวียน 22 กรกฎา ผลปรากฏว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์สูงถึง 89.84% ส่วนใต้ฐานชุกชีที่สงสัยว่าเป็นโพรงด้านล่างนั้นพอเจาะแล้วก็พบไหระฆัง บรรจุอยู่ 6 ใบ ขณะนี้ไหระฆังใบใหญ่ยังนำขึ้นมาไม่ได้และไม่ทราบว่ามีอะไรเก็บอยู่ภายในบ้าง จะต้องรอพระเถระชั้นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเดินทางมาตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง
หลังจากนี้ตนได้ประสานให้ตำรวจ สน.บางพลัด มาช่วยรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบวิหารให้แล้ว เพราะเกรงว่าพอมิจฉาชีพทราบข่าว จะแห่มาโจรกรรมวัตถุมีค่าไปในที่สุด “จากการสันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่า พระพุทธรูปองค์นี้น่าจะถูกขนย้ายมาจากทางภาคเหนือของประเทศไทยในรัชสมัยของ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องจากช่วงนั้นมีการนำพระพุทธรูปหลายองค์มาเก็บรักษาไว้ในพระบรมมหาราชวัง ส่วนที่จำเป็นต้องต้องโบกปูนทับเนื้อทองเอาไว้ก็น่าจะเป็นการพรางตาไม่ให้ โจรใจบาปเผาเอาเนื้อทองไป อย่างไรก็ตามจะต้องรอการตรวจสอบอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง” พระครูปลัดนายกวัฒน์
คุณเป็นคนมีน้ำใจ ขอบคุณที่กด Like.ให้ครับ
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์