โรมันกับความพินาศที่อาเดรียโนโปลิส

หลังสิ้นยุคทองของ จักรวรรดิโรมันลงเมื่อ ปี ค.ศ. 180  ความวุ่นวายและขัดแย้งก็ได้ก่อตัวขึ้นภายในจักรวรรดิ จนทำให้จักรวรรดิโรมต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และจักรวรรดิโรมันตะวันออก ในขณะเดียวกันเหล่าอนารายชนก็เริ่มสร้างปัญหาให้แก่จักรวรรดิทั้งสองจนนำ เข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมโทรม

หนึ่งในเหตุการณ์ สำคัญที่ทำให้จักรวรรดิโรมันอ่อนแอลงจนนำไปสู่ความล่มสลายในเวลาต่อมา  คือ สงครามที่เมืองแห่งหนึ่งชื่อ อาเดรียโนโปลิส ซึ่งปัจจุบันคือ เมืองเอเดิร์น ในตุรกีตะวันตก

ในเวลานั้น จักรวรรดิโรมันมีจักรพรรดิสองพระองค์ปกครองดินแดนตะวันตกและตะวันออก จักรวรรดิโรมันตะวันออกนั้นปกครองโดย จักรพรรดิ ฟลาวิอุส วาเลน ผู้มีชันษา 50 เศษ ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันตกปกครองโดยจักรพรรดิหนุ่มน้อยวัยยี่สิบชันษาเศษๆ พระนามว่า ฟลาวิอุส กราเชียน ซึ่งทั้งสองพระองค์นี้มีความเกี่ยวดองเป็นญาติกัน

ทหารโรมันยุคปลาย

เหนือขึ้นไปจากพรมแดน ของจักรวรรดิโรมัน เป็นดินแดนที่เรียกว่า เยอรมาเนีย ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของพวกกอธ (Goth) หรือเหล่าอนารยชนเยอรมัน โดยมีแม่น้ำดานูปเป็นเส้นแบ่งเขตแดนของพวกคนเถื่อนกับจักรวรรดิ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ตั้งประจัญหน้ากันเช่นนั้นมาเป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ทว่าเหตุการณ์ได้เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีการรุกรานของอนารยชนกลุ่มใหม่จากเอเชียกลาง ที่ชื่อว่า ฮั่น (Hun)

ชาวฮั่นเป็นนักรบบน หลังม้าที่เหี้ยมเกรียมเก่งฉกาจและสามารถยิงธนูจากบนหลังม้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแม้ว่า ชาวกอธจะเป็นนักรบที่ดุร้ายเข้มแข็ง ทว่ากองทหารราบและทหารม้าของพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของนักรบฮั่นได้ ในที่สุด พวกกอธก็แตกพ่ายยับเยินและต้องอพยพหนีภัยสงครามออกจากดินแดนของตนและสถานที่ ซึ่งคนเถื่อนเหล่านี้หมายตาว่าจะเป็นที่หลบภัย ก็คือ จักรวรรดิโรมันตะวันออก

ใน ปี ค.ศ. 376 บรรดาผู้นำชาวกอธ ได้ส่งทูตมาเจรจายอมอ่อนน้อมต่อจักรวรรดิโรมันเพื่อแลกกับการเข้ามาพักพิง หลบภัยจากการรุกรานของชาวฮั่น ซึ่งจักรพรรดิวาเลนก็ทรงพระราชทานให้เฉพาะชาววิสิกอธได้อพยพข้ามแม่น้ำดานูป เข้ามาพำนักยังเมืองเธรซทางตอนเหนือของกรีกได้ แต่ไม่ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พวกออสโตรกอธ อย่างไรก็ตาม พวกออสโตรกอธก็ยังอพยพเข้ามาได้ โดยผ่านเข้ามาตามชายแดนที่ไม่มีการระวังป้องกัน

พวกวิสิกอธ

พวกกอธหลายแสนคนอพยพ ข้ามแม่น้ำดานูปอย่างแตกตื่น โดยใช้ทั้งเรือ แพ กระทั่งกอดขอนไม้ หรือว่ายน้ำข้ามมา ผู้อพยพหลายร้อยคนเสียชีวิตระหว่างการข้ามน้ำ แต่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย เมื่อเทียบกับพวกที่ข้ามมาได้ จากนั้น ชาวกอธได้ตั้งค่ายพักที่ชายแดนโรมัน ซึ่งในเวลาไม่นาน อาหารสำรองที่นำมา ก็หมดลง ชาวกอธเริ่มหิวโหยและพยาพยามหาทางเอาชีวิตรอด บางครอบครัวถึงกับยอมขายลูกเป็นทาสเพื่อแลกเอาสุนัขมากิน

ลูปิซินุส ผู้บัญชาการกองพลโรมันประจำชายแดน รู้สึกกังวลใจกับ สภาพที่เกิดขึ้น การที่คนนับแสนพร้อมอาวุธครบมือ ตกอยู่ในภาวะหิวโหยและไร้ที่อยู่เช่นนี้ อาจเกิดปัญหาในอนาคต ดังนั้น ลูปิซินุสจึงคิดตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการกำจัดผู้นำชาวกอธทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกกอธมีหัวหน้าที่จะคุมคนขึ้นก่อการร้ายใดๆได้ ในการนี้ ลูปิซินุสได้ออกอุบายเชิญบรรดาหัวหน้าชาวกอธมาร่วมงานเลี้ยง และสังหารหมู่คนเหล่านี้เสีย ทว่ายังมีหัวหน้าสองสามคนที่หนีรอดไปได้ และหนึ่งในนั้น คือ ฟรีติเจิร์น ซึ่งได้กลายเป็นแม่ทัพสำคัญของชาวกอธในเวลาต่อมา โดยเขาได้ไปรวบรวมกำลังนักรบและยกทัพกลับมาเพื่อล้างแค้นให้กับผู้ที่ถูก สังหารหมู่

กองทัพกอธเข้าโจมตี กองทหารโรมันของลูปิซินุสที่ มาชิอาโนเปิล ด้วยความโกรธแค้น จนทำให้กองทหารโรมันไม่อาจต้านทานได้ และแม้ว่าลูปิซินุสจะสามารถหนีเอาชีวิตรอดไปได้ แต่ทหารกว่า 5,000 คนซึ่งเป็นกำลังพลส่วนใหญ่ในบังคับบัญชาของเขา ล้วนถูกสังหารในที่รบทั้งหมด หลังจากนั้น จักรวรรดิโรมันก็ตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามของพวกกอธ โดยไม่เฉพาะแต่กองทัพวิสิกอธของฟริติเจิร์นเท่านั้น หากยังมี ชาวออสโตรกอธ และ พวกอพยพเผ่าอื่นๆ เช่น ซามาเธียน อลัน เคปิด รวมทั้งชาวฮั่นบางส่วน เข้ามาร่วมด้วย จนกลายเป็นกองทัพมหึมา และใน ปี ค.ศ. 378 กองทัพคนเถื่อนนี้ก็ได้มุ่งหน้าสู่เมืองอาเดรียโนโปลิสและพยายามยึดเมือง แห่งนี้ให้ได้

เมื่อยกมาถึงแล้ว ฟรีติเจิร์นก็ส่งทหารเข้าโจมตีทันที ทว่าทหารกอธไม่อาจตีฝ่าปราการหินของพวกโรมันเข้าไปได้ ทั้งยังถูกสังหารล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จนต้องถอนทัพออกมา และในระหว่างนั้นเอง จักรพรรดิวาเลน ก็ทรงเตรียมทัพใหญ่ซึ่งมีทหารมากถึง 60,000 นาย เพื่อทำศึกกับชาวกอธ พร้อมกับทรงมีสาส์นแจ้งไปยัง จักรพรรดิกราเชียนแห่งโรมันตะวันตกให้ยกัพมาช่วย โดยจักรพรรดิหนุ่มก็ได้เส็จนำทัพออกจากอิตาลีมาทันที แม้ว่า จะอยู่ห่างจากจุดหมายเกือบหนึ่งพันไมล์ก็ตาม ทั้งนี้ ฝ่ายโรมันได้วางแผนที่จะรวมกองทัพทั้งสองเข้าด้วยกันและเข้าบดขยี้ทัพของพวก คนเถื่อนให้ย่อยยับ ทว่าหลังจากที่ จักรพรรดิวาเลนได้ทรงทราบข่าวจากพวกสายสืบของพระองค์ว่า กองทัพกอธไม่ได้มีกำลังมากเหมือนเช่นที่คิด หากแต่กลับมีทหารอยู่เพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น ทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยจะเข้าทำลายข้าศึกด้วยกองทัพของพระองค์เอง โดยไม่รอกำลังหนุนจากตะวันตก ทั้งนี้ เป็นเพราะจักรพรรดิวาเลนทรงปรารถนาที่จะได้รับชื่อเสียงในการชนะศึกครั้งนี้ แต่เพียงผู้เดียว

นายพลหลายคนสนับสนุน พระดำริขององค์จักรพรรดิ ยกเว้นก็แต่นายพลผู้บัญชาการทัพม้าที่คัดค้านและกราบทูลขอให้พระองค์ทรงรอ ทัพของจักรพรรดิกราเชียนจากอาณาจักรตะวันตกมาสมทบก่อน ทว่าความที่จักรพรรดิวาเลนทรงมีพระทัยริษยาจักรพรรดิกราเชียนอยู่ลึกๆ และไม่ทรงปรารถนาจะให้อีกฝ่ายได้รับชื่อเสียงในศึกนี้ด้วย พระองค์จึงทรงยืนกรานที่จะทำตามพระดำริโดยไม่ยอมฟังคำคัดค้านใดๆทั้งสิ้น

อย่าง ไรก็ตาม ข่าวที่จักรพรรดิวาเลนทรงรู้มานั้น เป็นความจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เนื่องจาก ขบวนอพยพของชาวกอธนั้นมีคนมากกว่าหนึ่งล้านคนและในจำนวนนี้เป็นนักรบเกือบ 200,000 คน หากแต่ในขณะนั้น กำลังพลส่วนใหญ่ของพวกกอธแยกออกเป็นส่วนย่อยเพื่อหาเสบียงสำหรับม้าและคน ทำให้สายสืบขององค์จักรพรรดิเข้าใจว่า พวกกอธมีกำลังรบเพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น 

นอกจากนี้ การที่บรรดานักรบคนเถื่อนนำครอบครัวของตนมาด้วย ยิ่งทำให้พวกเขาต้องสู้อย่างสุดชีวิต เพราะหากว่าพ่ายแพ้แล้ว ไม่เฉพาะแต่ตนเองที่ต้องตาย แต่ยังรวมถึงครอบครัวของตนที่ต้องตายไปด้วยดังนั้นหากจะให้ครอบครัวของตนรอด พวกคนเถื่อนก็มีทางเลือกเดียวคือ ต้องชนะ เท่านั้น

(อาเดรียโนโปลิสในปัจจุบัน)

ในวันที่ 9 สิงหาคม ปี ค.ศ. 378 กองทัพโรมันและกองทัพกอธได้มาเผชิญหน้ากันที่นอกกำแพงเมืองอาเดรียโนโป ลิส โดยชาวกอธได้เอาเกวียนทั้งหมดของพวกตนมาต่อกันเป็นวงกลมแบบเดียวกับป้อมค่าย และให้บรรดาเด็กกับผู้หญิงเข้าไปอยู่ข้างใน ทว่าฟรีติเจิร์นก็ยังไม่ยอมให้กองทัพเข้าโจมตี เนื่องจากต้องการถ่วงเวลาพวกโรมันเอาไว้ จนกว่า กองกำลังทั้งหมดของเขาจะมาถึง ดังนั้นเขาจึงส่งทูตไปหาจักรพรรดิวาเลน เพื่อทำทีขอเจรจาสันติ

จักรพรรดิวาเลนทรง ปฏิเสธ เนื่องจากทรงเชื่อว่า พระองค์กำลังได้เปรียบและหลังจากที่ทูตชาวกอธกลับไป กองทหารม้าโรมันก็เข้าโจมตีปีกขวาของทัพกอธทันที แต่ก็ถูกทหารกอธตอบโต้ด้วยการพุ่งเข้าใส่และตัดขบวนรบของกองทารม้าโรมันจน ต้องล่าถอยกลับไป จากนั้นการรบที่แท้จริงก็เริ่มขึ้น ทว่าในเวลานั้นเอง กำลังส่วนใหญ่ของชาวกอธก็ยกมาถึงพอดี

นักรบคนเถื่อนจำนวน นับแสนพุ่งลงมาจากภูเขาและเข้าโจมตีกองทัพโรมันอย่างดุเดือด ฝ่ายโรมันพยายามตั้งแนวเป็นขบวนทัพรูปสี่เหลี่ยมเพื่อรับศึกแต่ก็ถูกข้าศึก ที่บุกเข้ามาจากรอบทิศรุมล้อมเอาไว้ ลูกธนูและหอกนับพันตกใส่ขบวนทัพโรมันราวห่าฝน พวกกอธได้แบ่งกำลังทหารม้าส่วนหนึ่งอ้อมไปตีแถวทหารโรมันทางด้านหลัง ขณะที่ทหารราบของฝ่ายกอธต่างวิ่งออกจากด้านหลังของแนวกองเกวียนที่ตั้งล้อม เป็นป้อมค่าย เข้าไปสมทบกับพวกที่มาใหม่และเข้าตีกองทัพโรมันทางด้านหน้า

ฟรีติเจิร์น แม่ทัพวิสิกอธ สั่งให้ทหารของเขาจัดขบวนเป็นแถวแน่นคล้ายรูปท่อนซุงและพุ่งเข้าใส่พวกโรมัน ครั้งแล้วครั้งเล่า การโจมตีอย่างไม่คาดฝันของกองทัพหนุนฝ่ายข้าศึก ทำให้ทหารโรมันเริ่มเสียขวัญและถูกบีบจากทุกด้าน พวกทหารที่อยู่ทางปีกซ้ายและขวาของขบวนทัพเริ่มถอยร่นเข้ามากระจุกตัวรวม กลุ่มกันด้วยอาการสับสนและทำให้กองทัพโรมันเสียรูปขบวนในที่สุด จากนั้น การรบแบบตัวต่อตัวก็เริ่มขึ้น

(ทหารโรมันพ่ายแพ้ยับเยิน)

การรบนองเลือดดำเนิน อย่างดุเดือดและ เสร็จสิ้นลงในบ่ายวันนั้น ซากศพของทหารทั้งสองฝ่ายเกลื่อนสมรภูมิ เลือดไหลนองราวสายน้ำ กองทัพโรมันแตกพ่ายยับเยิน มีทหารหนีรอดไปได้เพียงส่วนน้อย ขณะทหารโรมันกว่าสี่หมื่นคนถูกสังหารในการรบครั้งนี้ รวมทั้งจักรพรรดิวาเลนด้วย โดยพระองค์อาจสิ้นพระชนม์ในที่รบ หรือ อาจถูกจับและนำพระองค์ไปยังโรงนาที่อยู่ใกล้ๆก่อนจะถูกสำเร็จโทษที่นั่น และเนื่องจากโรงนาแห่งนั้นถูกเผา พระศพของพระองค์ก็อาจไหม้ไปหมดพร้อมกับโรงนาด้วย เพราะไม่มีใครได้พบพระศพของพระองค์อีกเลย โดยเมื่อจักรพรรดิกราเชียนทรงทราบ ข่าวความหายนะที่อาเดรียโนโปลิส พระองค์ก็เสด็จนำทัพกลับทันที เพื่อปกป้องอาณาเขตของพระองค์จากมหันตภัยครั้งนี้

หลังจากการรบที่อาเด รียโปลิส ฝ่ายกอธกับโรมันยังคงทำศึกกันต่อมาอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะสงบศึกระหว่างกัน  แม้กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้กองทัพของโรมันอ่อนแอลง จนต้องหันไปว่าจ้างบรรดาอนารยชนเผ่าต่างๆมาป้องกันดินแดนและกลายเป็นจุด เริ่มต้นของความล่มสลายของจักรวรรดิโรมันที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 5

23 ธ.ค. 56 เวลา 00:05 2,060 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...