คุณหญิงหมาป่าแห่งโอแวร์น

นับแต่ยุคกลางเรื่อย มาจนถึงช่วงแรกของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ทวีปยุโรปยังคงอยู่ใต้อิทธิพลของความเชื่อและศาสนา รวมทั้งเรื่องของไสยเวทย์มนต์ดำ ที่ถูกกล่าขานกันอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งแม้ว่าหลายต่อหลายเรื่องที่เล่ากันนั้น อาจยากที่จะหาข้อพิสูจน์ถึงความเป็นจริง แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงเป็นที่จดจำและถูกเล่าขานกันมาจนถึงทุก วันนี้ เช่นเดียวกับเรื่องราวดังต่อไปนี้

เรื่อง นี้เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1585 ในเวลานั้น บรรดาขุนนางของฝรั่งเศสนิยมไปซื้อคฤหาสน์ตามเขตชานเมืองเพื่อใช้เป็นสถานที่ พักตากอากาศ ในตอนนั้น มีขุนนางหนุ่มตำแหน่งมาควิสท่านหนึ่งซึ่งตามเรื่องที่เล่ากันมา ไม่ได้ระบุชื่อของขุนนางผู้นี้ไว้ หากบอกแต่เพียงว่า เป็นขุนนางที่อาศัยอยู่ในกรุงปารีส ได้ไปซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่งในเมืองเล็กๆ ชื่อ โอแวร์น ซึ่งอยู่ในเขตชนบทรอบนอกของกรุงปารีส

อันที่จริงแล้ว การที่มาควิสท่านนี้ซื้อคฤหาสน์หลังดังกล่าว ก็เพียงเพราะต้องการจะเอาใจคุณหญิงผู้เป็นภรรยาที่ ปรารถนาจะมีบ้านพักตากอากาศเอาไว้เป็นสถานที่พักผ่อนและหลบหลีกจากความ วุ่นวายของเมืองหลวง

แม้ว่า คุณหญิงจะชื่นชอบและมีความสุขกับคฤหาสน์หลังใหม่มาก แต่ท่านมาควิสกลับเริ่มรู้สึกเบื่อความเงียบเหงาของชนบท จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านได้ยินมาว่า ในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ของท่านมากนัก มีนายพรานใหญ่คนหนึ่งอาศัยอยู่ ท่านมาควิสจึงให้คนไปตามตัวนายพรานผู้นั้นมาพบ เพื่อจะให้นายพรานช่วยเล่าเรื่องการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นกับสัตว์ร้ายในป่า ใหญ่ที่นายพรานได้เผชิญหน้ามาให้ท่านมาควิสฟัง เพื่อที่จะได้ทำให้ท่านหายเบื่อบ้าง

เมื่อนายพรานใหญ่มา ถึงคฤหาสน์ ท่านมาควิสก็ได้ให้นายพรานเล่าเรื่องการผจญภัยในป่าให้ฟัง ซึ่งหลังจากที่ฟังไปหลายเรื่อง ท่านมาควิสก็รู้สึกพอใจและตื่นเต้นกับเรื่องของอีกฝ่ายเป็นอันมาก ท่านจึงเอ่ยปากชวนนายพรานใหญ่ให้อยู่ทานมื้อค่ำที่คฤหาสน์เพื่อจะได้คุยกัน ต่อให้สนุก 

ทว่า นายพรานได้กล่าวปฏิเสธคำเชิญ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อเช้า มีชาวบ้านมาแจ้งว่า พบเห็นหมาป่าตัวใหญ่เข้ามาทำร้ายปศุสัตว์ในตอนกลางดึกที่ผ่านมา เขาจึงวางแผนไว้ว่าจะออกตามล่าหมาป่าตัวนั้นในวันนี้ จึงไม่อาจอยู่ร่วมทานถึงมื้อค่ำด้วยได้ แต่นายพรานใหญ่ก็ให้สัญญาไว้ว่า หากเขาล่าเจ้าหมาป่าตัวนั้นได้เมื่อไหร่ ก็จะรีบมาเล่าเรื่องให้มาควิสฟังทันที 

 ”ท่านแน่ใจหรือ ว่านายพรานผู้นั้นจะได้กลับมาเล่าเรื่องของเขาให้ท่านฟัง” คุณหญิงของมาควิสเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก หลังจากนายพรานกลับไปแล้ว “ไม่แน่ว่า เขาอาจกลายเป็นเหยื่อของหมาป่าตัวนั้นไปก็ได้”

“แต่ข้าเชื่อว่า เขาจะต้องล่าหมาป่าตัวนั้นได้แน่” มาควิสเถียงกับภรรยาอย่างอารมณ์ดี “หากไม่เชื่อ พรุ่งนี้ เจ้าคอยดูก็แล้วกัน”

ครั้นเมื่อเห็นสามีแสดงความมั่นใจมากถึงขนาดนั้น คุณหญิงก็สะบัดหน้าและกลับเข้าไปในห้องอย่างไม่สบอารมณ์

ในวันนั้น หลังออกจากคฤหาสน์ของมาควิสแล้ว นายพรานก็รีบเข้าไปในป่า เพื่อติดตามร่องรอยของหมาป่าใหญ่ตัวนั้น ทว่าหลังจากเวลาล่วงเลยจนเข้าถึงยามราตรี เขาก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆของมัน นอกจากรอยเลือดและซากสัตว์ที่มันทิ้งเอาไว้ตั้งแต่คืนก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปจนเกือบเที่ยงคืน นายพรานใหญ่ก็หมดหวังและตัดสินใจกลับบ้าน พร้อมกับนึกเสียดายที่ไม่มีเรื่องตื่นเต้นไปเล่าให้ท่านมาควิสฟัง

ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามก็ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้นายพรานหันกลับไป และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือร่างทะมึนของหมาป่าตัวหนึ่งยืนอยู่กลางแสงจันทร์ หมาป่าตัวนั้นใหญ่กว่าหมาป่าตัวใดๆที่เขาเคยเจอมาถึงสองเท่า ทว่าสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า คือ ประกายสีแดงฉานของดวงตาของมันที่วาววามผิดกว่าหมาป่าทั่วไปและก่อนที่นาย พรานจะทันยกปืนคาบศิลาขึ้น หมาป่าตัวนั้นก็พุ่งเข้าใส่ ทว่านายพรานพุ่งตัวหลบเจ้าสัตว์ร้ายได้ทันท่วงที แต่ก็ทำให้ปืนในมือกระเด็นไปอีกทางและตอนนี้เจ้าหมาป่ายักษ์ก็หันกลับมา พร้อมกับแสยะเขี้ยวเตรียมสังหารเขาแล้ว

เจ้าหมาป่าพุ่งเข้าหา นายพรานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ นายพรานใหญ่ได้กระชากมีดเล่มยาวที่เหน็บอยู่ในซองหนังข้างเอว เขาก้มตัวหลบและใช้มีดเล่มนั้นฟันเข้าใส่เจ้าสัตว์ร้ายเต็มเหนี่ยว อวัยวะชิ้นหนึ่งขอมันขาดกระเด็นพร้อมๆกับหยาดเลือดที่สาดไปทั่ว เจ้าหมาป่าลอยข้ามหัวเขาไปตกในพงหญ้าสูง เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของมันดังก้องกังวาน แต่ก่อนที่นายพรานจะตามไปซ้ำด้วยปืนของเขา หมาป่าตัวนั้นก็หายไปแล้ว

นายพรานใหญ่มองบนพื้น รอบตัวและยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเห็นชิ้นส่วนของสัตว์ร้ายตกอยู่ มันคืออุ้งเทาหน้าข้างหนึ่งที่ถูกฟันขาดถึงข้อเท้า เลือดยังไหร่ปี่ออกจากรอยแผลที่ถูกฟัน เขาใช้ใบไม้ห้ามเลือดและห่ออุ้งเท้านั้นยัดใส่ถุงหนังที่พกติดตัวมา พร้อมกับคิดว่าวันพรุ่งนี้ เขามีทั้งเรื่องและหลักฐานไปเล่าให้มาควิสฟังแล้ว 

รุ่งเช้า นายพรานใหญ่เดินทางไปที่คฤหาสน์และเล่าเรื่องการผจญภัยของเขากับเจ้าหมาป่า ยักษ์ให้มาควิสฟัง หลังจากเล่าจบ เขาก็หยิบเอาหลักฐานของการต่อสู้ระหว่างเขากับเจ้าสัตว์ร้ายออกมาให้อีกฝ่าย ดู

“นี่คืออุ้งเท้าของมันที่ถูกข้าพเจ้าฟันขาดเมื่อคืนนี้” นายพรานกล่าวพร้อมกับเทของในถุงหนังออกมา ให้มาควิสที่ตั้งตารอชมอยู่ได้เห็น

ทว่าเมื่อของในถุง นั้นหล่นออกมา ทั้งนายพรานกับมาควิสต่างก็ตกตะลึง เมื่อพบว่าของชิ้นนั้นไม่ใช่อุ้งเท้าของสัตว์ร้าย หากแต่เป็นมือซ้ายที่ขาวผ่องพร้อมนิ้วเรียวยาวแบบเดียวกับของอิสตรี ซึ่งถูกตัดขาดออกมา

มาควิสนั้นยิ่งตก ตะลึงขึ้นไปอีกเมื่อสังเกตเห็นว่า บนนิ้วนางของมือข้างนั้น มีแหวนวงหนึ่งสวมอยู่ มันเป็นแหวนที่เขาสวมให้คุณหญิงในวันแต่งงานนั่นเอง

ขุนนางหนุ่มรีบวิ่ง ขึ้นไปบนห้องของภรรยาด้วยเอะใจบางอย่าง โดยมีนายพรานตามไปด้วย และเมื่อทั้งสองเปิดประตูห้องออก ก็พบเห็น คุณหญิงกำลังยืนกุมข้อมือข้างซ้ายด้วยอากาศเจ็บปวด เนื่องจากข้อมือข้างนั้นถูกตัดมือขาดออกไป ซึ่งรอยเลือดยังปรากฏบนผ้าพันแผลที่พันหุ้มข้อมือที่ขาดด้วนนั้นอยู่

การสืบสวนที่ตามมา ทำให้คุณหญิงยอมสารภาพว่า เธอเป็นมนุษย์หมาป่าเนื่องจากถูกมนต์ดำของแม่มดและเธอนั่นเองที่ไปดักทำร้าย นายพรานผู้นั้นแต่พลาดท่า ถูกนายพรานตัดมือซ้ายขาดกระเด็น ซึ่งเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว คุณหญิงก็ถูกนำตัวไปรับการลงโทษแบบเดียวกับที่ผู้ถูกกล่าวหาว่า เป็นแม่มด ได้รับ นั่นคือ การถูกเผาทั้งเป็น

และนี่เอง คือ เรื่องราวของ คุณหญิงหมาป่าแห่งโอแวร์น

17 ธ.ค. 56 เวลา 23:10 1,900 1 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...