คาบสมุทรไอบีเรีย หรือดินแดนซึ่งในปัจจุบันประกอบด้วย ประเทศสเปนและประเทศโปรตุเกสนั้น ในสมัยโบราณ ชาวโรมันเรียกที่นี่ว่า ฮิสปาเนีย (Hispania) โดยหลังจากชนะสงครามปูนิคครั้งที่สอง โรมได้ยึดครองดินแดนทางภาคใต้ของสเปนจากคาเธจและแบ่งเป็นสองส่วนคือสเปนใกล้ และสเปนไกล โดยตั้งข้าหลวงมาปกครอง ต่อมาทางโรมเห็นว่าคาบสมุทรไอบีเรียอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เหล็ก ทองคำ เงิน และ ทองแดง เกินกว่าจะปล่อยให้หลุดมือได้โรมจึงขยายอิทธิพลเข้าสู่คาบสมุทรไอบีเรีย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นสงครามระหว่างโรมันกับชนพื้นเมืองสเปน โดยสองกลุ่มใหญ่ที่ต่อต้านโรมก็คือพวกลูสิตาเนีย (ปัจจุบันคือโปรตุเกส) และเซลตีเบอเรียน (พวกเซลต์หรือกอล ที่อาศัยอยู่ในสเปน)
(นักรบเซลตีเบอเรียน)
โดยใน ปีที่ 150 ก่อน ค.ศ. กัลบา ข้าหลวงแคว้นสเปนไกลนำทัพ 15,000 นาย เข้าโจมตีดินแดนลูสิตาเนียที่แข็งข้อและสร้างปัญหามานานกว่าสามปี แต่ทว่าถูกนักรบลูสิตาเนียซุ่มโจมตีจนแตกพ่าย เสียทหารไปถึง 7,000 คน ในที่สุดกัลบาแกล้งทำสัญญาสงบศึกกับนักรบลูสิตาเนียและเชิญมายังค่ายโรมัน โดยปราศจากอาวุธ ทว่าฝ่ายโรมันกลับจับนักรบลูสิตาเนีย 9,000 คน ประหารจนหมด สร้างความเคียดแค้นให้พวกลูสิตาเนีย กลุ่มอื่น ๆ เป็นอย่างยิ่ง
(อนุสาวรีย์ของวีเรียทัส)
และในปีที่ 147 ก่อน ค.ศ. นักรบหนุ่มนามว่าวิเรียทัส (Viriatus) ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชาวลูสิตาเนีย ลุกขึ้นทำศึกกับโรมันวิเรียทัสเอาชนะกองทัพโรมันที่หุบเขาบาเบร์ซูลา สังหาร เวติลิอุส แม่ทัพโรมันและทหารกว่า 6,000 คน ปีต่อมา เมื่อสงครามโรมกับคาเธจยุติลง โรมได้หันมาทุ่มกำลังปราบปรามทางด้านสเปนอย่างเต็มที่ แต่ฝ่ายลูสิตาเนียได้ใช้ยุทธวิธีทำสงครามกองโจรกับโรมันอีกหลายครั้งสังหาร ทหารโรมันไปนับหมื่นนาย
สงครามยืดเยื้อมาถึง ปีที่ 140 ก่อน ค.ศ. วิเรียทัสและกองทัพของเขาล้อมกองทัพโรมันไว้ในหุบเขาแห่งหนึ่งแต่กลับไม่โจม ตีและยื่นข้อเสนอสงบศึก และให้โรมยอมรับว่าลูสิตาเนีย เป็นพันธมิตรที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับโรมด้วยเขาเห็นว่า ยิ่งรบกันนานไป แม้จะชนะหลายครั้งแต่ฝ่ายลูสิตาเนียก็เสียหายมากขึ้นเรื่อย ๆ
(ความตายของวีเรียทัส)
แม้จะไม่พอใจแต่โรมก็ ต้องยอมรับไปก่อนทว่าในปีเดียวกันนั้นเองโรมได้ฉีกสัญญาทิ้งและทำสงครามอีก ครั้ง ในครั้งนี้วิเรียทัสถูกลูกน้องทรยศลอบสังหารในที่พักของเขาเองและเมื่อสิ้น วิเรียทัสแล้ว ฝ่ายลูสิตาเนียจึงยอมแพ้ต่อโรมันในที่สุดข้าหลวงโรมันยอมให้ชาวลูสิตาเนีย ที่วางอาวุธแต่แรกคงอยู่ในที่เดิมได้ ส่วนพวกที่เหลือถูกส่งไปสร้างอาณานิคมใหม่ชื่อว่าเมืองวาเลนเซีย (Valencia)
(กองทหารโรมันเข้าตีป้อมปราการ)
ส่วนการปราบปรามพวก เซลตีเบอเรียนนั้นสถานการณ์ไม่ต่างกับทางลูสิตาเนีย กล่าวคือนักรบเซลตีเบอเรียนได้ใช้วิธีรบแบบกองโจรซุ่มโจมตีกองทัพโรมันหลาย ครั้งสงครามยือเยื้อ มาถึงปีที่ 134 ก่อน ค.ศ. ปับลิอุส คอร์เนลิอุส สคิปีโอ (Publius Cornelius Scipio) หลานปู่ของสคิปิโอ อาฟริกานุสมาเป็นแม่ทัพปราบเซลตีเบอเรียน สคิปิโอเห็นว่า ป้อมนูมานเตีย (Numantia) ในภาคกลางตอนเหนือของสเปนคือศูนย์กลางสำคัญของเซลตีเบอเรียน ถ้ายึดที่นี่ได้สงครามก็จะยุติลง
ทั้งนี้ตั้งแต่ปีที่ 153 จนถึง 136 ก่อน ค.ศ. นูมานเตียถูกกองทัพโรมันเข้าตีหลายครั้ง เสียทหารมากมายแต่ก็มิอาจพิชิตได้ทั้ง ๆ ที่นูมานเตียมีนักรบเพียง 4,000 คนเท่านั้น สคิปิโอจึงตัดสินใจใช้วิธีปิดล้อมแทนการเข้าโจมตีโดยใช้ทหารโรมันถึง 20,000 นาย สร้างป้อมค่ายล้อมอย่างแน่นหนา พวกนูมานเตียพยายามตีฝ่าวงล้อมหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จและหลังจากถูกล้อมอยู่ 9 เดือน จนสิ้นเสบียงอาหาร ป้อมนูมานเตียก็ยอมจำนน
พวกเซลตีเบอเรียนที่ ยังเหลือในป้อมถูกขายเป็นทาส สคิปิโอ สั่งให้ทำลายนูมานเตียจนราบ ทางโรมมีคำสั่งห้ามฟื้นฟูเมืองขึ้นใหม่เช่นเดียวกับคาเธจในอาฟริกาและคอ รินท์ในกรีก การพ่ายแพ้ของป้อมนูมานเตีย ในปีที่ 133 ก่อน ค.ศ. ถือกันว่าเป็นการปิดฉากสงครามในคาบสมุทรไอบีเรียลง และโรมันก็ครอบครองคาบสมุทรแห่งนี้ได้สำเร็จแม้จะยังมีการต่อต้านประปรายหลง เหลืออยู่บ้างก็ตาม