ในช่วงสงครามปูนิ คครั้งที่ 2 ซึ่งอยู่ในยุคที่โรมยังเป็นสาธารณรัฐ อาณาจักรมาสิโดเนียได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับฮานนิบาล แม่ทัพคาร์เธจและทำสงครามกับโรม ต่อมาในปีที่ 196 ก่อน ค.ศ. มาสิโดเนียได้ขยายอำนาจสู่ดินแดนกรีก บรรดานครรัฐกรีกที่ไม่ต้องการอยู่ใต้อำนาจมาสิโดเนียจึงขอความช่วยเหลือมา ยังโรมสภา ขุนนางแห่งโรมต้องการหยุดยั้งอิทธิพลของมาสิโดเนียที่อาจกลายเป็นอันตรายต่อ โรมในภายหน้า จึงส่งแม่ทัพฟลามินิอุสนำกองทัพไปรบกับมาสิโดเนีย ซึ่งในสงครามครั้งนี้ กองทัพโรมันต้องเผชิญหน้ากับกระบวนทัพหอกยาวหรือฟาแลงซ์ (Phalanx) อันเลื่องชื่อของมาสิโดเนีย
ขบวนทัพแบบฟาแลงซ์ เดิมเป็นรูปแบบการจัดทัพของชาวกรีกซึ่งพระเจ้าฟิลิปแห่งมาสิโดเนีย ผู้เป็นพระราชบิดาของอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้ทรงนำมาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในกระบวนทัพดังกล่าว ทหารแต่ละคนจะถือหอกยาวห้าเมตรเป็นอาวุธและจัดแถวเป็นหน้ากระดานเรียงซ้อน กันหลายชั้น ทำให้กองทหารมีลักษณะเป็นกำแพงหอกเคลื่อนที่ ซึ่งหากข้าศึกบุกเข้ามา ก็จะถูกสังหารด้วยคมหอกเหล่านั้น ก่อนจะทันเข้าถึงตัวอีกฝ่าย ทั้งนี้ ในสมัยที่อเล็กซานเดอร์ทรงทำศึกกับจักรวรรดิเปอร์เซีย ก็ทรงใช้ขบวนทหารฟาแลงซ์เพียงสี่หมื่นเอาชนะกองทัพเปอร์เซียสามแสนคนที่กัว กาเมลาได้สำเร็จ
ในการรบครั้ง แรกระหว่างกองทัพโรมันกับกองทัพมาสิโดเนีย ขบวนฟาแลงซ์ของมาสิโดเนียได้ทำให้ทหารโรมันต้องล่าถอยเนื่องจากไม่อาจตีฝ่า แนวหอกนับหมื่นเข้าไปได้ ฟลามินิอุสจึงวางแผนการรบใหม่โดยหลังจากที่สังเกตลักษณะกองทัพข้าศึกแล้ว เขาได้พบว่า แม้ขบวนฟาแลงซ์จะแข็งแกร่งในการเข้าประจัญหน้า แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ความคล่องตัว เนื่องจากหอกที่ยาวถึงห้าเมตรทำให้พวกทหารไม่อาจหันหลังกลับได้ เปรียบเสมือนกับงูเห่าที่ไม่อาจป้องกันตัวได้หากถูกจู่โจมทางด้านหลัง
ในวันต่อมา ฟลาวิอุสจึงให้แบ่งทัพเป็นสองส่วน โดยให้ส่วนแรกเข้าตีทัพมาสิโดเนียทางด้านหน้า จนเมื่อการรบติดพันแล้ว ทัพอีกส่วนของโรมันก็เข้าตีทางด้านหลังทัพข้าศึก ซึ่งเมื่อทหารมาสิโดเนียถูกจู่โจมจากอีกทางหนึ่ง ก็พยายามหันกลับไปต่อสู้ แต่ด้วยความยาวของหอกที่ถืออยู่ ทำให้เกิดความปั่นป่วนจนเสียรูปขบวน ขณะที่พวกโรมันก็ฉวยโอกาสนั้นเข้าตีกระหนาบทั้งสองด้านและทำลายทัพข้าศึกลง ได้สำเร็จ โดยการรบในวันนั้น ทหารมาสิโดเนียล้มตายลงเกือบสามหมื่นคน ส่วนโรมันเสียทหารไปเพียงสองพันกว่าคนเท่านั้น
แม้ฝ่ายโรมันจะได้ชัย ชนะในสงครามครั้งนั้น ทว่าต่อมาในปีที่ 172 ก่อน ค.ศ. มาสิโดเนียและนครรัฐต่างๆของกรีก กลับรวมตัวกันต่อต้านอำนาจของสาธารณรัฐโรมัน ทางฝ่ายโรมจึงประกาศสงครามกับมาสิโดเนียและได้รับชัยชนะอีกครั้ง โรมได้ยกเลิกระบอบกษัตริย์ของมาสิโดเนียและแบ่งดินแดนออกเป็นสี่แคว้น ขณะที่พันธมิตรอื่น ๆ ของมาสิโดเนียถูกลดฐานะลงเป็นเมืองขึ้น
จนต่อมาในปีที่ 149 ก่อน ค.ศ. มาสิโดเนียได้ก่อกบฏขึ้นอีกครั้งแต่ก็ถูกกองทัพโรมันปราบลงได้และถูกกดลง เป็นมณฑลหนึ่งของโรมโดยส่งทหารไปควบคุมป้องกันการลุกฮือ การยึดครองมาสิโดเนียทำให้นครรัฐกรีกทางตอนใต้ต่างไม่พอใจ และรวมตัวกันทำสงครามกับโรม แต่ทว่าโรมก็สามารถ เอาชนะทัพพันธมิตรกรีกได้
ในสงครามครั้งนี้นคร คอรินท์ซึ่งเป็นผู้นำพันธมิตรและเป็นนครที่รุ่งเรืองที่สุดของกรีก ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงลงโดยกองทัพโรมันได้เผาเมืองจนสิ้นซาก จับพลเมืองที่รอดชีวิตทั้งหมดไปเป็นทาส และขนงานศิลปะแบบเฮเลนนิคทั้งหมดกลับโรม พร้อมมีคำสั่งห้ามฟื้นฟูเมืองขึ้นมาอีก เหตุการณ์นี้ทำให้กรีกสิ้นสุดอำนาจและเสรีภาพของตนลงโดยสิ้นเชิง