ก่อนหน้าที่ศาสนา คริสต์จะมาถึงสแกนดิเนเวีย บรรดาชาวนอร์สที่ครอบครองดินแดนแห่งนี้ได้นับถือ ศาสนาอาซาทรู (Asatru) ซึ่งเป็นศาสนาแบบพหุเทวนิยมที่มีการนับถือเทพเจ้าหลายองค์นอกจากนี้ ซึ่งศาสนาดังกล่าวได้อธิบายถึงการกำเนิดโลก ตามคติความเชื่อของชาวนอร์สเอาไว้
ตามตำนานของชาวนอร์สห รือที่รู้จักกันในชื่อของชาวไวกิ้ง ได้เล่าไว้ว่า เมื่อครั้งบรรพกาลก่อนที่จะโลกนั้น จักรวาลมีเพียงความว่างเปล่าจนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไป ก็บังเกิดเป็นทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่มหึมาซึ่งขนาบด้วยดินแดนสองแห่งทาง เหนือและใต้
โดยดินแดนทางเหนือเรียกว่า นีเฟลเฮล์ม เป็นดินแดนแห่งเมฆหมอกและความหนาวเย็น
ส่วนดินแดนทางใต้นั้นเรียกว่า มูสเฟลเฮล์ม เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยเพลิงอันร้อนแรงที่เผาผลาญไปทั่ว
ในกาลต่อมา ได้มีสะเก็ดเพลิงจากมูสเฟลเฮล์มกระเด็นขึ้นไปยังทุ่งน้ำแข็ง ทำให้ภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งละลายและปรากฏมีแม่วัวขึ้นมาตัวหนึ่ง ชื่อว่า โอดูมลา โดยแม่วัวตัวนี้ถือเป็นสิ่งมีชีวิตอันดับแรกสุดในจักรวาล
หลังจากเกิดมาแล้ว โอดูมลา พยายามหาอาหารกินด้วยการเลียน้ำแข็งใกล้ตัว นานวันเข้า ก้อนน้ำแข็งนั้นก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่ชื่อ ว่า ยีเมียร์ ซึ่งมีร่างกายประกอบด้วยเกล็ดน้ำแข็งมากมาย
ยีเมียร์ดูดนมของแม่ วัวโอดูมลา เพื่อประทังชีวิตและในเวลาต่อมา เกล็ดน้ำแข็งบนร่างของเขาก็ได้แตกออกมาเป็นพวกยักษ์รุ่นแรกๆ ซึ่งมีชื่อว่า รีเม ขณะที่แม่วัวโอดูมลาก็ยังคงออกหากินด้วยการเลียภูเขาน้ำแข็งต่อไป จนกระทั่งน้ำแข็งอีกก้อนได้แตกออกและปรากฏร่างของบรรพชนของเหล่าเทพเจ้า นามว่า บูรี ขึ้นมา ซึ่งเทพบูรีนี้มีรูปร่างที่งดงามและแข็งแรง ผิดกับพวกยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โต
เทพบูรีมีพระโอรส นามว่า บอร์ ซึ่งต่อมาได้แต่งงานกับยักษ์สาวแสนสวย นาม เบสต์ลา จากนั้นทั้งเทพบอร์และพระชายาเบสต์ลาก็ช่วยกันเพาะต้นอ่อนของมหาพฤกษาแห่ง โลกที่ชื่อ ว่า อิกก์ดราซิล ซึ่งในภายหลัง มหาพฤกษาอิกก์ดราซิลนี้จะยึดโยงโลกต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างมีดุลยภาพ
เทพบอร์กับพระชายาทรง มีพระโอรสด้วยกัน สามพระองค์ คือ จอมเทพโอดิน เทพบิดรโฮเนียร์ และเทพบิดรโลเทอร์ ซึ่งในเวลาต่อมา เทพสามพี่น้องนี้ได้ทำสงครามกับพญายักษ์ยีเมียร์ จนทำให้ดินแดนน้ำแข็งสั่นสะเทือนไปทั่ว ซึ่งสงครามในครั้งนี้เทพเจ้าทั้งสามเป็นฝ่ายกำชัยชนะอย่างเด็ดขาดโดยสังหาร พญายักษ์ยีเมียร์ลงได้ ทั้งนี้โลหิตของพญายักษ์ได้ไหลบ่าท่วมเหล่ายักษ์รีเมทั้งหลายจนล้มตายเกือบ หมดและเหลือเพียงยักษ์ไม่กี่ตนเท่านั้นที่รอดชีวิตไปได้
หลังจากสังหารยีเมีย ร์แล้ว โอดินและอนุชาทั้งสองก็นำร่างของยีเมียร์มาสร้างเป็นโลกพิภพ โดยเสกเนื้อหนังของพญายักษ์ให้เป็นแผ่นดิน เลือดกลายเป็นทะลและสายน้ำ กระดูกกลายเป็นขุนเขา เส้นผมกลายเป็นต้นไม้นานาพันธุ์ ส่วนขนคิ้วได้กลายเป็นทุ่งหญ้า ซึ่งโลกที่เหล่าเทพเจ้าทั้งสามสร้างขึ้นนี้ ได้ถูกขนานนามว่า มัชฌิมสถาน หรือ มิดการ์ด
เมื่อสร้างผืนโลก เสร็จแล้ว เหล่าเทพเจ้าได้นำกระโหลกของยีเมียร์ไปตั้งครอบไว้บนเสายักษ์สี่ต้นเหนือผืน โลกและใช้ส่วนโค้งด้านในของหัวกระโหลกเป็นท้องฟ้าและสร้างหมู่เมฆขึ้นมา จากนั้นจอมเทพโอดินก็ทรงมีพระบัญชาให้คนแคระสี่ตนชื่อว่า นอร์ทรี ซูทรี โอสทรี และเวสทรี คอยดูแลเสาค้ำฟ้าทั้งสี่ต้น ที่อยู่ในทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก
หลังจากสร้างท้องฟ้า แล้ว เทพทั้งสามจึงไปยังมูสเฟลเฮล์ม และนำสะเก็ดไฟดวงใหญ่สีทองมาสร้างเป็นราชรถสุริยัน พร้อมกับสร้างสุริยเทวี นามว่า โซล และได้นำสะเก็ดไฟขนาดรองลงมาที่มีสีขาว มาสร้างเป็นราชรถจันทรา พร้อมกับสร้างจัทราเทพ นามว่า มานิ หลังจากนั้นก็ทรงนำสะเก็ดไฟดวงเล็กๆ มากมายมาสร้างเป็นดวงดาวประดับบนท้องฟ้า
หลังจากมิดการ์ดเสร็จ สมบูรณ์ จอมเทพโอดินก็สร้างมนุษย์คู่แรกของโลก โดยสร้างผู้ชายมาจาก ต้นแอช และทรงให้ชื่อว่า อัซก์ และสร้างผู้หญิงขึ้นมาจากต้นเอล์มและให้ชื่อว่า เอมบลา จากนั้นเทพโอดินได้ประทานจิตวิญญาณให้แก่พวกเขา เทพโฮเนียร์ประทานความรู้สึก และเทพโลเทอร์ประทานการ พูด เห็น และสัมผัสต่างๆ
ทั้งอัซก์ และเอมบลามีร่างกายที่งดงาม ทั้งสองได้กลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งมวลในมิดการ์ด
ขณะที่จอมเทพโอดินและ อนุชากำลังสร้างสรรค์สรรพสิ่งอยู่นั้นเอง บรรดายักษ์รุ่นใหม่ที่สืบเชื้อสายมาจากพวกรีเมที่รอดชีวิตเมื่อครั้งเหล่า เทพเจ้าทำสงครามกับพญายักษ์ยีเมียร์ ก็เริ่มทวีจำนวนมากขึ้น พวกยักษ์เหล่านี้ได้ไปอาศัยรวมกันอยู่ในดินแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า อัทการ์ด หรืออีกชื่อหนึ่งคือ โจทุนไฮม์ โดยจอมเทพโอดินได้ทรงนำเอากระดูกของยีเมียร์ที่เหลืออยู่มาสร้างเป็นกำแพง ใหญ่กั้นระหว่างดินแดนโจทุนโฮม์กับมิดการ์ดเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังมียักษ์ที่มีฤทธิ์มากบางตนลอบเข้ามาในดินแดนมิดการ์ดและแปลง ร่างมาสมสู่กับมวลมนุษย์จนทำให้มนุษย์รุ่นต่อมา มีความชั่วร้ายปะปนอยู่ในสายเลือด
เมื่อจอมเทพโอดินทรง ทราบเรื่อง ก็ทรงดินแดนแห่งหนึ่งเพื่อเป็นที่อยู่ของเหล่าเทพและใช้สำหรับคอยดูแลคุ้ม ครองมวลมนุษย์ จากนั้นก็ทรงให้ชื่อ ดินแดนนี้ว่า อัสการ์ด ซึ่งแปลว่า อุทยานแห่งทวยเทพ โดยในอัสการ์ดจะ เป็นที่ประทับของคณะเทพแห่งสงครามและแสงสว่าง ซึ่งประกอบด้วยเทพเจ้าหลายพระองค์ เช่น ธอร์ เทพแห่งสายฟ้า ผู้มีฆ้อนวิเศษเป็นอาวุธ, บาลเดอร์ เทพเจ้าแห่งความดีงาม, เฟรยา เทพธิดาแห่งความงามและความรัก
นอกจากนี้ อัสการ์ด ยังเป็นที่ตั้งของมหาปราสาทกลอทเฮม ซึ่งจอมเทพโอดินจะเสด็จมาประทับบนเทวบัลลังก์ในมหาปราสาทแห่งนี้เพื่อเฝ้า ติดตามความเป็นไปในมิดการ์ดหรือโลกมนุษย์ โดยมีสะพานสายรุ้งที่เรียกว่า บีฟรอสต์ เชื่อมระหว่างอัสการ์ดและโลก อีกทั้งจอมเทพโอดินยังทรงสร้าง หอขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า วัลฮัลลา เอาไว้สำหรับเป็นที่ชุมชุนเหล่าเทพและดวงวิญญาณวีรบุรุษทั้งหลาย
โดยในวัลฮัลลานี้ จะมีบรรดาวัลคีรี ซึ่งเป็นนางฟ้าที่แต่งกายด้วยชุดนักรบคอยดูแลต้อนรับวิญญาณผู้กล้าทั้งหลายที่มาที่นี่
หลัง จากสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงแล้ว จอมเทพโอดินได้เดินทางไปพบชาววานิ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์อันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งที่อาศัยอยู่บนยอดของมหาพฤกษา โลกอิกก์ดราซิล เพื่อขอเรียนรู้ถึงสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้พระองค์ทรงทราบถึงชะตากรรม ในอนาคตและวันสิ้นโลก ทั้งนี้จอมเทพโอดินทรงให้ความสำคัญกับความฉลาดรอบรู้เป็นอย่างมาก โดยครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงยอมเสียพระเนตรไปข้างหนึ่ง เพื่อแลกกับการดื่มน้ำจากบ่อน้ำพุแห่งสติปัญญาที่มียักษ์ตนหนึ่งเฝ้าอยู่
การที่จอมเทพโอดินทรง ทุ่มเทให้กับการแสวงหาความฉลาดรอบรู้ถึงเพียงนี้ ก็เพราะพระองค์เชื่อว่า ความรอบรู้ทั้งปวงจะช่วยให้พระองค์สามารถรับมือกับชะตากรรมของวันสิ้นโลกที่ จะมาถึงได้ และก็เนื่องด้วยจอมเทพทรงล่วงรู้ถึงการมาถึงของวันสิ้นโลกนี่เอง พระองค์จึงได้ใช้ วัลฮัลลา เป็นที่สถานที่รวบรวมดวงวิญญาณของเหล่าผู้กล้าเพื่อเตรียมการสำหรับมหา สงครามในวันสิ้นโลก
ทว่า สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปตามเส้นทางแห่งโชคชะตา ที่แม้แต่จอมเทพก็ยังไม่อาจหลีกพ้น…