หน้ากาก และ วัตถุโบราณ มีอายุประมาณ 1,200 ปี ในห้องขนาดเล็กที่เพิ่งพบใหม่ ใต้ปิระมิดศักดิ์สิทธิ์ ในเขตขุดค้นซุลตัน เมืองตีกัล เมืองโบราณของเผ่ามายา ในเขตเอลเปเตน ประเทศกัวเตมาลา เปิดเผยโดยนักโบราณคดี เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2555
ตีกัล (Tikal หรือ Tik’al) คือซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายา ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ ยูเนสโก เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่ง สถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่ภายในเมือง ซึ่งเก่าแก่ที่สุด มีอายุตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงเวลาที่เมืองเจริญถึงขีดสุด คือ ค.ศ. 200 ถึง ค.ศ.900 เรียกว่าเป็นยุคคลาสสิก
ช่วงนั้นเมืองตีกัลเป็นศูนย์กลางทั้ง การปกครอง เศรษฐกิจ และการทหาร หลังสิ้นสุดยุคคลาสสิก ไม่มีสิ่งก่อสร้างขึ้นใหม่ สถานที่บางแห่งถูกเผาทำลาย จำนวนประชากรได้ลดลง และในที่สุดเมืองก็ถูกละทิ้งในปลายศตวรรษที่ 10 อย่างเป็นปริศนา มาจนถึงทุกวันนี้
หน้ากากและวัตถุโบราณ ที่ผมจะนำมาพูดถึง และวิเคราะห์ ถอดรหัสตามแนวทาง การวิจัยของ
ฅนค้นผีโปรเจ็คท์ ก็คือ เหล่าหน้ากากศิลา ที่ เหมือนมนุษย์ต่างดาว ...อย่างที่ใครต่อใครได้เห็นผ่านมาแล้ว...
ข้อความต่อไปนี้ จะเป็นบทวิเคราะห์ จาก ฅนค้นผีโปรเจ็คท์ ...ซึ่งอาจจะขัดเคืองกับความรู้ดั้งเดิม ความรู้ใหม่ ของนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี ทั้งหลาย ก็ต้องกราบขออภัย ไว้ล่วงหน้า ...
หน้ากาก หรือ รูปหน้า ... ชาวมายัน เขาจะประดิษฐ์ และ ทำขึ้นมา เพื่อแทนบุคคลที่เขาเคารพ ...วัตถุเหล่านี้ เสมือนรูปเคารพ แทนเทพ ผู้ที่เคยลงมาเยือนโลกมนุษย์ .... คล้ายๆกับที่เราปั้นรูปพระเกจิ ที่เราเคารพนับถือ เอาไว้สักการะ ...
เพราะ วัตถุมงคลเหล่านี้ ไม่ได้พบเห็นโดยทั่วไป หากแต่มีจำเพาะเจาะจง อยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ของอาณาจักร ....
และ บนหน้ากาก และ ใบหน้า หรือ รูปปั้น มักจะมีลวดลาย สลักเรื่องราวต่างๆเอาไว้ ...ซึ่งเรื่องราวที่จารึกไว้ จะแสดงเหตุการณ์สำคัญของผู้นั้น
หน้ากาก มีทั้งแบบที่ ไม่มีรู มีรูเดียว และ มี 2 รู
วันนี้ ขอวิเคราะห์ ภาพต่อไปนี้ครับ
เป็นภาพแรก ที่ผมนำมาวิเคราะห์
...ภาพนี้ ใครๆที่เห็น ก็มองออกว่า ...เป็นภาพ จานบิน ..หรือ UFO !!
ผมแกะลายเส้น ได้ภาพ คนนอนพนมมือ ...แต่ภาพนี้ น่าจะเป็น ผู้นำ หรือ ผู้มีเชื้อสายมาจากฟ้า ...
...หมดอายุขัย...หรือ ตายแล้ว ...ภาพเส้น ที่ดวงตาหน้ากาก บอกว่า ...เขาหลับตา ... การนอนพนมมือ...เหมือนกับ ชาวพุทธ นะ....!! ใช้สัญลักษณ์ ... การพนมมือ ... สื่อให้เราทราบว่า เขาใช้การทักทาย ด้วยการพนมมือ .... หากเราไปดู การทักทายของชาวอินเดียแดง ...จะไม่ใช้ การไหว้...
ภาพเส้นสีฟ้า แสดงขอบเขต บอกว่า ภาพชุดนี้ อยู่ในเรื่องราวเดียวกัน ....
ลงลายเส้นและสี ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และ ขอแปลความเป็นไปตาม ลำดับหมายเลข ...ขอรับ
หมายเลข 1 เส้นสีฟ้า เป็นเส้นที่ไม่มีรอยตัด รอยต่อ .. หากพิจารณาจาก ภาพโดยรวม จะเห็นเป็นภาพ จานบินUFO ลอยอยู่เหนือ ร่างสวมหน้ากาก ซึ่งนอนพนมมืออยู่บนพื้น...พื้น หรือ เบื้องล่าง น่าจะหมายถึง พื้นผิวโลก .... เส้นสีฟ้า นี้ บ่งชี้ว่า สิ่งต่างๆที่ปรากฎอยู่ภายในวงเส้นสีฟ้า คือ ระบบเดียวกัน ...
หมายเลข 2 ผู้สวมหน้ากาก น่าจะเป็น เพศชาย สังเกตได้จาก หน้ากากมีลักษณะคล้ายเครายาว ออกจากปลายคาง มองดูแล้ว ไปคล้ายคลึงกับ หน้ากากของ ไอยคุปต์ !!
ภาพเคราที่ปลายคาง บ่งบอกว่า เป็นเพศชาย เปรียบเทียบกับภาพ ของอารยธรรมไอยคุปต์
ชายผู้นี้ น่าจะตายแล้วล่ะ ...ถูกจัดท่านอนเหยียดตรง พนมมือ อยู่หน้าอก ...อาการพนมมือ...เหมือนจะบ่งบอกว่า ...เป็นผู้มาจากอารยะธรรมตะวันออก ที่รู้จักการไหว้ .... เรานึกไปถึง ศพมัมมี่ ของอียิปต์ จะใช้การวางมือประสานกันที่หน้าอก ...หรือ ที่หน้าท้อง หรือไม่ก็ เหยียดตรง ข้างลำตัว....
คนผู้นี้ น่าจะเป็น ผู้นำ หรือ หัวหน้า หรือ ชนชั้นปกครอง ที่ไม่ใช่ชาวอินเดียนแดงพื้นเมือง เพราะเขาเหล่านั้น ไม่ใช้การไหว้ แต่น่าจะใช้ การแลบลิ้น ในการทักทาย...!!
หมายเลข 3 เส้นสีส้ม ซึ่งมีอยู่ด้านซ้ายและขวา เป็นเสมือนสะพาน หรือ พลังงาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำหน้าที่เชื่อมต่อ ระหว่าง มิติโลกมนุษย์ กับมิติที่กำลังลอยลำอยู่เหนือร่างดังกล่าว
หมายเลข 4 เส้นสีเหลือง เป็นส่วนที่ยื่นต่อออกมาจากขอบ ของจานบินUFO เป็นอุปกรณ์จากต่างมิติ ที่ยื่นลงมาเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์เชื่อมของมิติโลก
หมายเลข 5 เส้นสีเหลืองกั้นขอบเขต ระหว่าง มิติสวรรค์กับมิติโลก อาจจะงงๆ ...ไหนว่าเป็น ยานต่างดาว หรือ UFO ...แล้ว ทำไม...ถึงโผล่มาสวรรค์... ดูคำเฉลย ในหมายเลข 6 ...ขอรับ
หมายเลข 6 ทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นเพียงลวดลายของจานบิน .... หากเป็นการเขียนลวดลาย เส้นหมายเลข 6 น่าจะมาบรรจบกับ เส้นหมายเลข 4 ....พิจารณาดูแล้ว เหมือนเป็นเจตนา จะเขียนให้แยกจากกัน .... และ ทำเป็นเหมือนขั้นบันได ..นับได้ 5 ขั้น ...และพอถึงขั้นที่ 5 ก็จะมีเส้นแบ่งเขตแดน มากั้นเอาไว้ ....
ซึ่ง ตรงจุดนี้แหละ ทำให้รู้ว่า ....จะต้องผ่าน 5 ขั้น จึงจะถึง ชั้นบน ซึ่งมองดูแล้วเหมือน ห้องนักบินหรือห้องบังคับการ ของยานUFO ... นั่นหมายถึง จุดหมายปลายทางของร่างๆนี้ อยู่ชั้นบนสุด ..ซึ่งเป็นชั้นที่ 6 ...ก็มาสอดคล้องกับ ...ภพภูมิสวรรค์ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ชั้น !!
หมายเลข 7 เหมือนช่องหน้าต่าง รูปทรง สามเหลี่ยม ซึ่งมีอยู่ทั้งสองด้าน สามเหลี่ยมนี้ แสดงถึง ยานUFO หรือ ยานต่างมิติ ที่มีรูปทรงสามเหลี่ยม เป็นพาหนะ ที่ใช้เดินทาง ระหว่างสวรรค์แต่ละชั้น
หมายเลข 8 เส้นกั้น แสดงขอบเขต ของสวรรค์ชั้นที่ 6
หมายเลข 9 เหมือนหอคอย 3 ขา ...แต่เสากลาง จะแสดงลักษณะเหมือนบันได มีความแตกต่างจากขาซ้ายและขวา จึงได้รู้ว่า ไม่ใช่ หอคอย 3 ขา หากแต่เป็นการบอกให้ทราบว่า สวรรค์ชั้นนี้ แบ่งออกเป็น สองฝ่าย มีเสากลางเป็นทางขึ้น ...ขณะวิเคราะห์ (เที่ยงคืน) ฝนตกแรงมาก....
และ ก็ไปสอดคล้องกับ สวรรค์ชั้นที่ 6 ที่แบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายเทวะ และ ฝ่ายเทวะมาร ..!!
หมายเลข 10 แสดงบรรยากาศ ของชั้นฟ้า ตามภพภูมินั้น
หมายเลข 11 แสดงช่องเปิดของมิติสวรรค์ ในอวกาศ อันไกลโพ้น อันที่จริงน่าจะเป็น
ต่างมิติอันไกลโพ้น
หมายเลข 12 และ หมายเลข 13 แสดง จักรวาลอื่น ซึ่งจะแสดงไว้เป็นลักษณะของดวงดาว
ซึ่งมีดาวบริวาร ลอยอยู่รอบๆ
สนุกไหมครับ ...การถอดรหัส ... ก็อ่านๆไป ให้เหมือนกับอ่านนิยาย นะขอรับ ... !!
หากเป็นไปตามที่ ถอดรหัส ... ก็แสดงว่า ...บุรุษผู้นี้ มีที่ไปคือ สวรรค์ชั้นที่ 6 ...และ คิดในมุมกลับ ก็แสดงว่า เขาผู้นี้เป็น ผู้มาจาก สวรรค์ชั้นที่ 6 ...หากชอบ ความรุนแรง ชอบก่อสงคราม ก็แม่นแท้ ....มาจากฝ่ายเทวะมาร แน่นอน ...!!
เพราะ ในอดีต พระยามาร ...ผู้เป็นใหญ่ในฝ่ายเทวะมาร บนสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้ยกพล ลงมาท้ารบกับ พระพุทธเจ้า ...จนเกิดเป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือ ปางสะดุ้งมาร บางทีก็เรียกปางปราบมาร ....
จากภาพข้างต้น ทำให้เราเห็นว่า สวรรค์ ได้แปลงข้อมูล ให้ออกมา เป็นรูปธรรม .!!..ในลักษณะของ จานบินหรือUFO และมีการลงมาอยู่ร่วมกัน กับ มิติโลกมนุษย์ โดยลงมาถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี ให้กับชาวโลก ...ดูๆไปแล้ว ช่างไม่แตกต่างอะไรกับ ภาพเขียนที่ผาแต้ม ซึ่ง ฅนค้นผี ได้วิเคราะห์เอาไว้ ใน มนุษย์ต่างดาวผาแต้ม ภาค 1 ....
คำว่า รูปธรรม ...คือ ให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ... จาก กายหยาบของมนุษย์ ... จึงเป็นเหตุให้ ต้องลง มาอยู่ร่วมกับ มนุษย์โลก ในภพภูมิของมนุษย์ ...แต่จะอยู่ในฐานะของ ผู้ที่เหนือกว่า ... เช่น เป็นผู้ปกครอง เป็น เทพ ที่มนุษย์ต้องเคารพบูชา .... และ เขาเหล่านี้ มักจะอยู่เบื้องหลัง หน้ากาก ...เพราะ การมีกายละเอียด ทำให้มีลักษณะ ของร่างกายที่แตกต่างจาก เหล่าสัตว์ที่อยู่ใน มนุษยภูมิ ...
ภาพจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/115262/4
ภาพจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/115262/4
หน้ากาก และ ชุดพิเศษ จึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่างยิ่ง ....แต่ เทพองค์ใด ที่เริ่มหมดพลัง หรือ ที่เรียกว่า หมดบุญ ก็จะมี ร่างกาย ที่หยาบขึ้น ... การที่พลังลดลง ก็มีสาเหตุมาจาก หลายประการ เช่น การที่มีจิตใจฝักใฝ่ในกิเลส ตัณหา การยินดีเมื่อได้กระทำการ อันเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น ทางกาย ทางวาจา หรือ ทางใจ การใกล้จะหมดอายุขัย ตามวาระ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกัน รวมถึง การมีผลของ อกุศลกรรม มาตัดรอน ...ก็จะมีผลต่อ การสูญเสียพลังงานเช่นกัน ...!!
อาจจะมีข้อสงสัย ว่า ทำไม เทพเหล่านั้น จึงกระทำการเช่นนี้ ... มี 2 สาเหตุหลัก ...ต้องบอกไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งหาว่า ผมเพี๊ยนจัด ...ซึ่งอันที่จริง ก็ บ้ามาตั้งนานแล้ว ...ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ...และ อย่าคาดคะเนว่าเป็นผู้มีญาณวิเศษ ใดๆ ทั้งนั้น ...!! ...เพราะการที่กล้าฟันธง ไปล่วงรู้ความคิด ของ เทวดา เหล่านั้น เกิดจากการศึกษา ครับผม .... ว่าต่อ...
สาเหตุแรก เกิดจากความคิด ที่อยากแสวงหาชีวิต อมตะ !! ... ความกลัวการเปลี่ยนแปลง ...ทั้งที่อาจจะเคยได้ยินได้ฟัง เรื่อง ราวของ ...อนิจจัง ... หรือความไม่เที่ยงแท้ ของทุกสรรพสิ่ง ...แต่ เขาเหล่านั้น ก็ไม่เชื่อ ... กลับคิดและเชื่อตามความเห็นของตนเอง ว่า ... วิธีการลงมาสถิตย์ บนมนุษยภูมิ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง....
สาเหตุที่สอง เกิดจาก ต้องการลงมาสร้างบุญ !! ...เพื่อเพิ่มพลังให้กับตนและบริวาร เทพกลุ่มนี้ รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่งเป็นอย่างดี รวมทั้งรู้วิธีที่จะต่ออายุขัยของตน จึงต้องลงมาถ่ายทอดความรู้ อันเป็นวิทยาทาน ให้แก่เหล่าสัตว์โลก ที่ยังไร้อารยะธรรม ... และการเพิ่มอายุขัย ของเขาเหล่านั้น ก็เกิดจากความกลัว เช่นกัน ....กลัวความลำบาก กลัวที่จะต้องเกิดมาในยุคสมัยที่ป่าเถื่อน กลัวว่าตนจะมาเกิดในช่วงกลียุค กลัวว่าจะไม่ได้เกิดในยุคพระศรีอารย์ และอีกสารพัดความกลัว...