นับว่าเป็นข่าวสร้างความตื่นตระหนกอีกครั้ง รายงานข่าวจากเมืองคมบริดจ์ รัฐแมสซาจูเสทสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งสำนักงานนาซาองค์การสำรวจอวกาศซึ่งได้ส่งกล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์ขึ้น สู่วงโคจรของโลก เพื่อจับภาพความเคลื่อนไหวในอวกาศ ได้แก่วัตถุที่โคจรเข้าสู่โลกหรือเข้ามาในเขตใจกลางของสุริยจักรวาล
กล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์ตัวนี้ส่งคลื่นเอกซเรย์ออกไปแล้ว มีจานรับสัญญาณแปลงคลื่นในระบบดิจิตอล จึงไม่อาจมีสิ่งแปลกปลอมหลุดรอดการตามล่าไปได้
นาซาตั้งชื่อกล้องโทรทรรศน์มูลค่าพันกว่าล้านดอลลาร์หรือ 40,000 ล้านบาทไทยว่า “จันทรา” (Chandra) กล้องโทรทรรศน์เอกซเรย์จันทราพบสิ่งผิดปกติมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
จนบันดนี้มีข่าวรั่วจากนาซาว่าสิ่งผิดปกติที่พบนั้นคือ หลุมดำ(Black hole) หรือนรกดำที่กำลังเคลื่อนที่มายังสุริยจักรวาลด้วยความเร็วกว่าล้านไมล์ต่อ ชั่วโมง
หลุมดำดังกล่าวนี้มีขนาดใหญ่กว่าระบบสุริยจักรวาลเสียอีก นั่นก็หมายความว่าหากเคลื่อนผ่านตรงดิ่งมาโดยไม่เปลี่ยนทิศทาง ไม่เพียงชะตากรรมของมนุษย์โลกจะสิ้นสุดลงแล้ว สุริยจักรวาลทั้งระบบก็ถูกดูดกลืนหายไปในความมืดมิดของนรกดำนี้ด้วย
ดร.จีราร์ด โฮลท์เซียน นักฟิสิกส์อวกาศ ผู้ซึ่งเคยทำงานให้นาซามาก่อนกล่าวว่า “โลกของเราจะถูกหลุมดำดูดเข้าไปด้วยแรงดูดมหาศาล จากนั้นบดขยี้กลายเป็นเศษฝุ่นเล็กๆพอกับอณู”
หลุมดำคืออะไร ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายรูปลักษณ์ได้มากนัก รู้เพียงว่ามันมีสภาพคล้ายกลุ่มก๊าซ กลุ่มควัน ซึ่งหมุนอยู่รอบตัวคล้ายพายุเฮอริเคน แต่ความเร็วหมุนนั้นไม่อาจมีมาตรามาวัดได้
ความเร็วหมุนนี่เองได้ดูดทุกสรรพสิ่งเข้าไปในหลุมดำ ไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นวัตถุธาตุ เป็นก๊าซ เป็นดวงดาว เป็นแสงสว่าง และรวมทั้งกาลเวลาด้วย แรงหมุนมากมายมหาศาลทำให้ตรงใจกลางของการหมุนปราศจากสี กลายเป็นความกำมืด ก็เพราะมันดูดทุกสรรพสิ่งเข้าไปนั่นเอง ขนาดของหลุมดำมีไม่แน่นอน เช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ไปทิศทางใดของจักรวาลก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พอมีข้อมูลอยู่บ้างถึงการถือกำเนิดของหลุมนรกดำ เกิดจากปากฎการณ์เรียกว่า “ซูเปอร์โนวา” หรือการแตกตัวการระเบิดของกลุ่มดาว หรือดาวเคราะห์ ซึ่งถึงเวลาแตกดับ
ก่อนเกิดปรากฎการณ์ซูเปอร์โนวา ดาวถึงเวลาดับนั้นจะหดตัวเข้าหากันเรื่อยๆใช้เวลานับล้านๆปี จากนั้นขยายตัวออกเป็น 3 เท่า แล้วระเบิดเป็นจุล ซึ่งสุริยจักรวาลของเราก็เกิดขึ้น จากปรากฎการณ์ซูเปอร์โนวานี่เอง ทั้งนี้นักดาราศาสตร์พบหลักฐานบริเวณสุริยจักรวาลมีฝุ่นควันก้อนอุกกาบาต น้อยใหญ่และน้ำแข็งยังปกคลุมภายในเป็นรัศมีวงกลม หากมองจากจักรวาลอื่นๆพบว่าสุริยจักรวาลของเรามีหมอกควันปกคลุมอยู่ หลังจากการระเบิดของซูเปอร์โนวา ความร้ายแรงจะขยายไปยังดวงดาวใกล้เคียงระเบิดต่อๆกัน
แต่เนื่องจากแรงดึงดูดในจักรวาลยังอยู่ “ธาตุ” หรือแกนยังไม่สูญสลายไปไหน ดวงดาวที่แตกสลายจะกลับมารวมกันใหม่ นี่เองจึงเกิดการหมุนอย่างรุนแรงขึ้นและหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แกนกลางของหลุมดำนั้นนักวิทยาศาสตร์คาดว่าแข็งแกร่งกว่าเพชรหลายล้านเท่า
นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่า ในหลุมดำนี่เองมีโพรงสำหรับการท่องจักรวาลได้ ในเมื่อหลุมดำไม่มีอะไรเลยแม้แต่กาลเวลา ก็น่าจะเป็นช่องทางสำหรับการเคลื่อนที่ได้เร็มกว่าความเร็วแสง “หลุมดำได้ชื่อว่าเป็นตัวกินดวงดาว ตัวดูดกลืนทุกสรรพสิ่งในจักรวาล” ดร.จีราร์ด กล่าว
เรื่องราวของหลุมดำ นักวิทยาศาสตร์พบเค้าลางในปี 1960 แต่ไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร จะเป็นกลุ้มก๊าซ กลุ่มดาวก็ไม่ใช่ นี่เองนาซาจึงสร้างโครงการอวกาศฮับเบิสเปซและอื่นๆตามมาอีกหลายโครงการ เพื่อส่งกล้องไปจับภาพสิ่งแปลกปลอมที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามมาใกล้สุริย จักรวาล
สำหรับกล้องโทรทรรศน์จันทรา นับว่าเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลกมนุษย์ที่เคยผลิตขึ้นมาได้ และเมื่อปลายปีมานี่เอง กล้องจันทราจับภาพหลุมดำได้ หลุมดำเป็นเรื่องร้ายแรง
ดังนั้นนาซาเก็บภาพที่กล้องจันทราถ่ายไว้ได้เป็นความลับสุดยอด “ดวงตาของคนเรานั้น ไม่อาจจับภาพ มองเห็นภาพขอหลุมดำได้เลย เพราะมันหมุนด้วยความเร็วไม่อาจประมาณได้” แต่กล้องจันทราจับภาพได้ พร้อมกับคำนวณว่าหลุมดำเคลื่อนที่ด้วยความเร็วล้านไมล์ต่อชั่วโมง
และหากหลุมดำเคลื่อนที่ผ่านสุริยจักวาลจริง ดวงอาทิตย์และดาวนพเคราะห์อีก 9 ดวง รวมทั้งโลกเราจะถูกดูดไปในนรกดำเหมือนน้ำไหลลงรูขนาดใหญ่ ก่อนที่โลกเผชิญหน้ากับหลุมดำจะเกิดปรากฎการณ์อะไรขึ้นมาก่อน แน่นอนคำถามนี้ย่อมไม่มีใครตอบได้ แต่มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มทฤษฎีอธิบายว่า ก่อนเกิดเหตุทุกเหตุย่อมมีลางเกิดเหตุเกิดขึ้นก่อนทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงก่อนคือภูมิอากาศของโลก
จากนั้นตามด้วยภัยพิบัติร้ายแรง หาดว่าแรงดูดในระยะไกลนับร้อยปีแสงทำให้แกนโลกเกิดเอียงหรือเสียสมดุล สิ่งที่ตามมา คือ พายุร้าย แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นยักษ์สูงนับไมล์
เกี่ยวกับเรื่องหลุมดำมุ่งหน้ามายังสุริยจักรวาลนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายแถลงข่าวของนาซาไมยอมรับพร้อมๆกับไม่ปฏิเสธ ขณะที่หลายคนที่ไม่เชื่อตามคำทำนายในคัมภีร์ไบเบิล ถึงวันสุดท้ายของโลกหรือ
“ดูมส์สิเดย์” นั้น ก็เริ่มเชื่อ พระคาทอลิกที่นครบอสตันผู้หนึ่งกล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า
“ฉันรู้ดี นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีทฤษฎีมากมายอธิบายถึงสิ่งบังเกิดในจักรวาล กับเรื่องวาระสุดท้ายของโลก ใช่ว่าปราศจากมูลความจริง”
“แต่ตราบใดพวกเรายังคงเชื่อมั่นในพระองค์ ศรัทธาต่อพระองค์ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีก….เราสิ้นสุดจากที่นี่เพื่อไปพบกันที่แดนสวรรค์”
สำหรับคำพยากรณ์จากคัมภีร์ไบเบิลถึงวาระสุดท้ายของโลกนั้น ได้เขียนไว้มนคัมภีร์ฉบับใหม่ (New Testament) ซึ่งผุ้เชี่ยวชาญได้ถอดความออกมาคล้ายกับอธิบายว่าโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับ หลุมดำนั้นเป็นอย่างไร
1. “แล้วพระองค์ได้เปิดทางออกของหลุม ซึ่งมีควันพวยพุ่งออกมาจากเตาหลอมร้อนแรง ทั้งดวงอาทิตย์และอวกาศพลันถลำสู่ความมืดมน อนธกาล” (จากเรฟวีเลชั่น 9:1-2)
2.”แล้วมันได้บังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้คนจะหายลับไปใต้พื้นโลก” (จากเรฟวีเลชั่น 16:18) ข้อความนี้หมายถึงโลกจะระเบิดออกมา
3. “แล้วนางพญางูใหญ่ พ่นปล่องน้ำออกจากปากกลายเป็นน้ำท่วม” (จากเรฟวีเลชั่น 12:13) ข้อความนี้หมายถึงเกิดคลื่นยักษ์
4.แล้วข้าฯมองเห็นผู้รั้งบังเหียนม้าเรียกชื่อของพระองค์ ถลำสู่ความตาย พลังทุกทิศถาโถมเข้าหากัน ห้ำหั่นกันด้วยดาบและความหิวกระหาย (จากเรฟวีเลชั่น 6:8) ข้อความนี้หมายความว่า จะเกิดภัยสงครามและความอดอยากไปทั่วโลก
5. “แล้วทุกสิ่งทุกอย่างหมุนกลิ้งเข้าหากัน ทั้งภูเขา ทั้งเกาะ หลุดออกจากที่ตั้ง” (จากเรฟวีเลชั่น 6:14) หมายถึงโลกปริแยกแตกจากกัน
6. “แล้วดวงอาทิตย์จะหรี่แสงกลายเป็นความมืดมิดพร้อมกับดวงตาแห่งสวรรค์ตกลงมา ยังพื้นโลก” (จากเรฟวีเลชั่น 6:12-13) หมายถึงบรรยากาศลุกเป็นไฟ แล้วถูกดูดกลืนลงสู่หลุมดำ
สำหรับวันเวลาที่หลุมดำเคลื่อนที่ใกล้สุริยจักรวาลเพียงพอต่อการทำลายล้างได้นั้น “นาซา” ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลลับนี้