สิเรียม"เคลียร์หมดใจ ยันไม่เอา"พายัพ"โต้ข่าวพา"นนนี่"ไปทำแท้ง
"แอน" แจงเหตุกระเตงลูกหนีไปนอก แค่ไปเรียนภาษาเพิ่มเสริมงานธุรกิจ ลั่นเปล่าหนีหน้า “พายัพ” พร้อมเคลียร์ไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอีกฝ่าย ยกมือไหว้ขอโทษรับเสียใจข่าวเนรคุณเวิร์คพ้อยท์ฯ อ้างบอกคนใกล้ตัว “เสี่ยตา” แล้ว ยันยังไม่ทิ้งวงการ พร้อมป้อง “นนนี่” เปล่าตั้งท้องและติดยาตามที่มีกระแสข่าวออกมา
เคยตกเป็นประเด็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลังนางเอกดาวค้างฟ้า "แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์" มีข่าวพัวพันในทำนองชู้สาวอยู่กับนักการเมืองดัง “พายัพ ชินวัตร” จากนั้นเจ้าตัวก็กระเตงลูกสาว “นนนี่ นนลนีย์ โอแกน" ไปเมืองนอก หันหลังให้วงการบันเทิงแบบกะทันหัน ไปโดยไม่กล่าวลาผู้บริหารเวิร์คพ้อยท์ฯ “เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล” ซึ่งเป็นผู้ให้โอกาสทำงานด้านพิธีกรสักคำเดียว ซึ่งว่ากันว่าเหตุที่ “แอน สิเรียม” ต้องทำเช่นนั้น เพราะต้องการหนีให้ห่างจาก “พายัพ” ที่พยายามเข้ามาเกาะแกะ จึงทำให้กลายเป็นที่มาของฉายา “ม่ายลี้ภัย” ที่ทางสมาคมนักข่าวบันเทิงฯ ตั้งให้กับเธอ
แต่วันนี้ “แอน สิเรียม” ได้คัมแบ็กกลับเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว เพื่อมาเปิดธุรกิจใหม่ "Slimming Plus" ซึ่งเป็นสถาบันเสริมความงานที่เจ้าตัวนั่งแท่นเป็นผู้บริหาร ทั้งยังตั้งใจมาเคลียร์ข่าวฉาวในทุกกรณี ที่เจ้าตัวเคยอุบปิดปากเงียบไม่ยอมออกมาแก้ข่าวใดๆ
"ที่หายไม่ได้หายไปไหนนะคะ ก็อยู่ปกติ แต่ว่าไปต่างประเทศมา เพราะมีการวางแผนสำหรับตัวเองไว้ ด้วยอายุงานของการทำงานแสดง เราก็ค่อนข้างที่จะเรียกว่ามีประสบการณ์มากทีเดียว เพราะฉะนั้นมาถึงจุดหนึ่งเราก็อยากที่จะมีภาพชีวิตของตัวเอง ที่ค่อนข้างที่จะชัดเจนมั่นคงมากยิ่งขึ้น เราก็เลยหัดทำธุรกิจ ตอนนี้ก็พัฒนาตัวเองให้มีความรู้มากยิ่งขึ้น ก็เลยไปเรียนอยู่ที่อังกฤษ ซึ่งกลับมาก็จะอยู่ถึงต้นเมษายน แล้วถึงจะกลับไปเรียนให้จบคอร์ส เรียนภาษาเพิ่มเติมให้จบก่อน"
"ฉายาที่ได้คือม่ายลี้ภัย รู้สึกว่าทุกคนให้เกียรติเรามากเลย ดีค่ะดูน่าสนใจดี มีเรื่องราวดี แอบน้อยใจไหม ไม่คะ เพราะว่าไม่ได้ลี้ภัย ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญขนาดนั้น และมันก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรไปในทำนองนั้น เรื่องที่ได้ฉายามาคงเป็นเพราะมีกระแสข่าวกับคุณพายัพ แต่แอนไม่ได้หนีคุณพายัพ ไม่เกี่ยวเลย ซึ่งมันเป็นความผิดพลาดมากที่เราไม่พูด"
"ที่เราไม่ออกมาพูด เพราะกลัวถ้าพูดออกไป จะเป็นเรื่องเป็นราวกันไป เราก็เงียบดีกว่า คิดว่าความเงียบจะสงบ แต่ปรากฏยิ่งเป็นอะไรกันไปเยอะแยะมากมายกว่าเดิมอีก ก็ทราบข่าวบ้างเพื่อนๆ ส่งเมล์ไปให้ ได้อ่านได้เห็น แล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย พอดีจังหวะตรงนี้ก็เลยโอเค เราจะได้มีภาพที่ชัดเจน อธิบายให้คนที่รักเราและก็แฟนๆก็จะได้ไม่มีความกังวลใจ"
แจงความสัมพันธ์กับ “พายัพ ชินวัตร” เป็นแค่ผู้ใหญ่ที่นับถือ และมีการพูดคุยเคลียร์กับอีกฝ่ายให้เข้าใจแล้ว
"คือจริงๆ แล้วความสัมพันธ์กับคุณพายัพ เขาเป็นเพียงแค่ผู้ใหญ่คนหนึ่ง และกีฬากอล์ฟที่บอกว่าไปออกรอบด้วยกัน คือกีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่แอนเพิ่งหัดเพิ่งเริ่มตี เพราะฉะนั้นแอนจะมีโปรกอล์ฟไปกับแอนด้วยทุกครั้ง ไม่มีการไปไหนกับใครตามลำพังทั้งสิ้น การไปออกรอบเคยไปออกกับคุณพายัพครั้งเดียว แต่ไม่ได้ไปกับคุณพายัพคนเดียว ไปกับอีกหลายๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะแอนก็ทำธุรกิจ และกีฬากอล์ฟก็เป็นกีฬาด้วย เป็นพาร์ทเนอร์ด้วยตามวัยค่ะ"
"โอเคคนเรามีหลายด้าน แต่ด้านที่เราคุยกันได้ คือด้านที่คุยเรื่องธรรมะเรื่องทำบุญ แล้วใครก็รู้อยู่แล้วว่าแอนเป็นคนสร้างวัดตั้งแต่เริ่มต้น และทุกปีมันไม่ใช่แอนคนเดียวที่เป็นคนเชิญแขก มีผู้ใหญ่ทางวัดที่ต้องเชิญทางจังหวัด มันเป็นแบบนี้ก็เลยต้องทำตามระบบที่มันเป็นอยู่ เพราะฉะนั้นเวลาเราบอกบุญแจกซอง เขาก็จะถามเราว่าที่ไหน ยังไง เราก็เรียนเชิญทุกคน แล้วเป็นกฐินพระราชทานเราก็ต้องใส่ชุดที่มันสุภาพเรียบร้อย แค่นั้นเอง"
"บางทีคนจะมาที่วัดเราก็ไม่รู้ เพราะบางทีเราเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ได้คิดอะไร เราสร้างวัดก็เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจเรา ที่ระลึกถึงพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสรู้ ครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้หญิงที่ได้สร้าง มันก็เป็นความภูมิใจของแอนนะ ดังนั้นคนที่บอกบุญไปแล้วมา ก็มาได้หลายสาเหตุ บางคนก็มาอนุโมทนาบุญกับเรา บางคนก็ถูกบังคับมาด้วยอำนาจหน้าที่ บางคนก็มาจากหาเสียง อันนี้เราไม่สามารถไปหยั่งรู้จิตใจของแต่ละคนได้ แต่ของเราคืออยากทำบุญแค่นั้นเอง"
"ซึ่งตอนนี้ก็ชี้แจงให้คุณพายัพเข้าใจ และคุณพายัพก็บอกว่า รู้สึกเสียใจที่ทำให้มันเกิดปัญหาแบบนี้ ที่คนเข้าใจแบบนี้เกิดขึ้น แอนก็บอกว่าไม่เป็นไร เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่เจตนาของเรามากกว่า คุณก็ต้องรู้ตัวดีว่าคุณเป็นยังไง แล้วตัวเราเองเป็นยังไง คือจริงๆ แล้วกับคุณพายัพรู้จักนะคะ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หรือไม่ได้มีอะไรเกินเลยแบบนั้น แล้วที่คุณพายัพเคยบอกกับนักข่าวการเมืองว่า ปัจจุบันไม่ใช่ อนาคตไม่แน่ มันคงเป็นไปไม่ได้นะคะ ความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ แต่บางทีคนเราก็พูดกันไป เราก็เป็นเด็ก อย่าบีบคั้น อันไหนที่ตอบได้ก็ตอบความจริงอยู่แล้ว"
ยอมรับเสียใจข่าวเนรคุณทิ้งผู้บริหารเวิร์คพ้อยท์ฯ "เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล" ไปกะทันหันโดยไม่บอกลา ทั้งที่เป็นผู้ให้โอกาสในการทำงานเป็นพิธีกร
"ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ แอนหายไปเลยนะคะ จริงๆ เรื่องนี้อ่านแล้วเสียใจมากเลย แล้วรู้สึกว่าเป็นความผิดด้วย เพราะเราได้บอกกับคนสนิทของพี่ตา ปัญญาแล้ว เทปสุดท้ายที่เราอัดก็ยังเฮฮาปาร์ตี้ เลี้ยงอำลากันเรียบร้อย แต่แอนรู้สึกผิดพลาดตรงที่ไม่ได้ไปกราบลาพี่ตาด้วยตัวเอง เรามองไม่ขาดเพราะเราคิดว่าผู้บริหารก็ยุ่งมาก ไม่ใช่ว่าจะขอพบได้ง่ายๆ กว่าคิวจะเจอกันได้ ตรงนี้เลยอยากฝากสื่อมวลชนให้ลงด้วย ก็ขอกราบขออภัยพี่ตามากเลย ที่ไม่ได้บอกพี่ตาด้วยตัวเอง ตรงนี้รู้สึกเสียใจมาก"
"แอนก็มีโอกาสได้คุยแล้ว พี่ตาก็ไม่ได้โกรธอะไร พอมีข่าวออกมาก็ทำให้เสียหายทั้งสองฝ่าย เราก็ทำไปตามขั้นตอน ถ้าถามว่าจะมีโอกาสได้ไปทำงานที่เวิร์คพ้อยท์อีกไหม จริงๆ ที่นี่เป็นคนที่ให้โอกาส ในการดำเนินชีวิตของการเป็นอาชีพพิธีกร ซึ่งก็ต้องขอบคุณพี่ตามากๆ เลย แต่แอนไม่ได้อำลาวงการนะ แค่อยากพักร้อนนิดหนึ่ง เราอยากหาการเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวเองบ้าง ถ้าเกิดเราไม่ได้ทำงานทางด้านการแสดง เพราะอายุก็มากแล้ว บทบาทหน้าที่ก็เปลี่ยนไป ถ้าเกิดเราลองมาทำธุรกิจอย่างเต็มตัว ดูสิว่าเราจะไปรอดไหม"
ส่วนกระแสข่าวของลูกสาวสุดเลิฟ "นนนี่ นนลนีย์ โอแกน" ที่ก่อนหน้านี้ถูกมรสุมข่าวโจมตีว่า เพราะเบนโลและติดยาเสพติด เป็นเหตุทำให้เธอต้องกระเตงลูกหนีไปทำแท้งที่เมืองนอก เรื่องนี้ “แอน สิเรียม” ได้ชี้แจงว่า
"เรื่องข่าวน้องนนนี่ท้อง ติดยาเสพติด เป็นอะไรที่น่ากลัวมากเลยนะ และก็ไม่อยากตอกย้ำ แต่ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง คนก็รู้อยู่แล้วทำไมถึงลือกันไปขนาดนี้ แอนงงมากเลยนะ อันนี้รู้สึกไม่สบายใจมากเลย และมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง เขียนกันเกินไป สำหรับน้องเขาก็รู้ข่าวนี้ แต่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะรู้ว่าไม่เป็นความจริง เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขียนไปถึงขนาดนี้ คือจริงๆ ก็อยากจะชวนลูกมาด้วยแต่ก็เดี๋ยวจะดูมากไปไหม เพราะงานนี้มันเป็นงานผู้ใหญ่"
"เราก็คุยกับลูกนะว่า เออทำไมถึงต้องเขียนกันถึงขนาดนี้ เพราะเขาไม่เข้าใจ แล้วเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่น ความคิดก็จะค่อนข้างที่จะรุนแรงเหมือนกัน เขาก็จะรู้สึกว่าไม่อยากเป็นข่าวไม่อยากยุ่งอะไร แม่อยากทำอะไรก็ทำไปในส่วนของอาชีพแม่ อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ลูกบอกว่า อย่างนั้นแม่ก็ลองเปลี่ยนอาชีพแม่ดูดีกว่าไหม ซึ่งเรื่องข่าวเป็นส่วนประกอบที่อยากเปลี่ยนการดำเนินชีวิต ไม่ใช่ประเด็นหลัก ไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก เพราะจริงๆ ก็คือรู้สึกว่าอายุถึงเลข 4 แล้ว เราอยากหาอะไรให้กับชีวิตบ้าง เราไม่ได้รับราชการเขาไม่มีจ่ายค่าเกษียณ"
"ตอนนี้นนนี่เรียนอยู่ที่โรงเรียนรีเจ้นท์ เป็นโรงเรียนอินเตอร์ อยู่กับแอนเหมือนเดิม ไม่ได้อยู่กับบิลลี่ เรียกว่าสลับกันไปค่ะ เพราะมันเป็นหน้าที่พ่อแม่ แต่ว่าโอเคตอนที่คุณแม่อยู่เมืองนอก พ่ออาจจะรับไปบ้าง แต่ลูกเรียนโรงเรียนประจำอยู่แล้ว ซึ่งซัมเมอร์ก็ไปอังกฤษ คือพี่สาวแท้ๆ ของแอนอยู่ที่อังกฤษ แล้วก็มีน้องสาวคนหนึ่ง พี่สาวแอนเพิ่งเปิดร้านอาหารได้ปีหนึ่ง เราก็เลยรู้สึกสนใจเหมือนกัน มันก็เป็นลู่ทางหนึ่ง แล้วพี่สาวก็ชวนไปดู และตัวแอนก็อยากไปลงคอร์สเรียนต่อด้วย แล้วก็ดูไว้ให้สำหรับลูกด้วย เพราะลูกก็คงส่งไปเรียนเมืองนอกอยู่แล้ว"
เปรยไม่เครียดกับข่าวที่เกิดขึ้นแล้ว โทษตัวเองที่สื่อสารไม่ดี ลั่นไม่คิดฟ้องร้องสื่อ เพราะบ้านเมืองวุ่นวายพอแล้ว และเข้าใจในหน้าที่
"แอนไม่เครียดกับข่าวที่เกิดขึ้นแล้ว มันเลยเครียดไปแล้ว มันคือการเสียใจมากกว่า และไม่น้อยใจด้วย เพราะแอนเป็นคนไม่โทษใครอยู่แล้ว เราก็ทำงานในส่วนที่เป็นนักแสดงสาธารณะ มันก็เป็นเรื่องปกติที่คนมาสนใจ และก็มองอีกด้านหนึ่งคือ ในเมื่อเราไม่ออกมาแก้ข่าวก็พอพูดกัน เขาก็อาจจะเขียนไป เพราะเข้าใจแบบนั้น เราก็ไม่ได้คิดอะไร ก็โทษตัวเองสงสัยการสื่อสารเราจะไม่ค่อยดี เราต้องเปลี่ยนใหม่"
"จะฟ้องร้องหนังสือต่างๆที่ลงข่าวไหม คงไม่ค่ะ เพราะตอนนี้ประเทศชาติชีวิตก็วุ่นวายแล้ว คืออะไรจะวุ่นวายก็แล้วแต่ อย่าให้ใจเราวุ่นวายเป็นพอ ให้ใจเรานิ่งและก็ดำเนินชีวิตไป เพราะแอนเชื่อว่าแต่ละอาชีพก็มีการดำเนินชีวิตที่ยึดแตกต่างกัน อย่างของแอนเป็นนักแสดง สิ่งที่ยึดถือคือการที่ไม่มอมเมา ไม่ลุ่มหลง อย่างนักข่าวก็มีที่ยึดคือ ต้องยึดความจริงเป็นหลักในการนำเสนอข่าว ซึ่งเหมือนกันในแต่ละอาชีพ ก็ต้องมีการยึดหลักในอาชีพของตัวเอง"