10 อันดับโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย

 

 

 

 

 

10 โรคร้ายที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต รวมทั้ง 10 โรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย เป็นภัยเงียบที่แฝงมากับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ แม้เราจะรู้จักโรคเหล่านี้มาบ้างแล้วก็ตาม
แต่วันนี้เรามาอัพเดทข้อมูลกันดีกว่า เพื่อจะได้รู้เท่าทันและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : http://health.kapook.com/view6629.html

10. โรคผิวหนัง

โรคที่เกิดกับผิวหนัง มีสาเหตุต่างๆมากมายหลายประการอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือไม่มีการติดเชื้อก็ได้ โรคผิวหนังบางชนิดมีรอยโรคที่ผิวหนังคล้ายคลึงกันทั้งๆที่มีสาเหตุแตกต่างกันและในทางตรงกันข้ามรอยโรคที่ ไม่เหมือนกันอาจจะมีสาเหตุของ โรคเหมือนกันก็ ได้ นอกจากนี้โรคผิวหนังที่พบในสัตว์อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียวหรือมีหลายๆสาเหตุร่วมกันก็ได้ โรคผิวหนังอาจจำาแนกได้ตามสาเหตุของโรคดังต่อไปนี้
1.โรคผิวหนังที่มีสาเหตุจากปรสิต เช่น โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อดี โมเดกซ์ (Demodex) ขี้เรื้อนซาร์คอพติค (Sarcoptes) Otodectes เห็บหมัด เหา รวมถึงพยาธิ โปรโตซัว และแมลงหลายชนิดปรสิตเหล่านี้ทำาให้เกิดโรคผิวหนังได้โดยตรง บางตัวทำาให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังร่วมด้วย

2.โรคผิวหนังที่เกิดจากแบคทีเรีย เช่น Staphylococcus intemedius ซึ่งมีลักษณะคล้าย Staphylococcus aureus ทำให้เกิดรอยโรคที่ชั้นต่างๆของผิวหนัง

3.โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรามีเชื้อราอยู่3ชนิดที่พบว่ากว่า95%เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง คือ Microsporum canis, Microsporumgypseum และ Trichophyton mentagrophytes ส่วน Malasseziapatchydermatis จัดเป็นยีสต์ ที่มีคุณสมบัติหลายอย่างคล้ายเชื้อราและก่อให้เกิดโรคที่ผิวหนังได้เช่นกัน

4.โรคผิวหนังที่เกิดจากการแพ้แบบต่างๆความผิดปกติที่เกิดจากการแพ้มีหลายแบบ คือ โดยการสัมผัส (Allergic contact dermatitis)โดยการสูดดมเข้าทางการหายใจ (Inhalant allergy) แพ้อาหารบาง

9. โรคของปาก หู คอ จมูก

อาการดังต่อไปนี้แสดงว่าท่านอาจมีโรคทางหูอ คอ จมูก อาทิ มีก้อนหรือแผลบริเวณใบหู ปวดหู คันหู มีน้ำหนวกไหล หูอื้อ มีเสียงหึ่ง ๆ ดังในหู เวียนศรีษะ หน้าเบี้ยวเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่ทำงาน แสดงว่าท่านมีโรคของหู หรือระบบที่เกี่ยวข้องกับหูถ้าท่านมีก้อนที่คอ ในช่องปาก ใบหน้า ไม่ว่าส่วนใด ๆ ก็ตาม หรือมีอาการเสียงแหบ เจ็บคอระคายคอ จุกแน่นในลำคอ กลืนอาหารลำบาก ท่านควรได้รับการตรวจเช็คกับแพทย์หู คอ จมูก หรือถ้ามีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย ๆ มีอาการปวดศรีษะหรือใบหน้า ท่านอาจจะมีโรคของระบบจมูก ทางเดินหายใจ หรือโพรงไซนัส

8. โรคระบบทางเดินปัสสาวะ

ระบบทางเดินอาหาร เริ่มต้นจากปากไปหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ปากเป็นแหล่งที่ย่อยอาหารอันดับแรก ในปากประกอบด้วย ฟัน ลิ้น เพดาน กระพุ้งแก้ม พื้นของเพดาน อวัยวะเหล่านี้ทำหน้าที่ เก็บ คลุกเคล้า และบดอาหารให้เหลวและกลืนลงไปยังหลอดอาหาร

นอกจากนี้ปากยังทำหน้าที่หายใจแทนจมูก เมื่อเราหายใจทางจมูกไม่ได้ รูปแสดงส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินอาหาร หลอดอาหาร เป็นกล้ามเนื้อยาวประมาณ 9 นิ้ว ทำหน้าที่นำเอาอาหารที่ย่อยแล้ว ลงสู่กระเพาะอาหารโดยการหดตัวแบบลูกคลื่น กระเพาะอาหาร เป็นส่วนที่ต่อจากหลอดอาหาร มีลักษณะยืดหดได้ สามารถบรรจุได้ประมาณ 1,500 ซีซี.น้ำย่อยอาหาร ในแต่ละวัน จะมีน้ำย่อยอาหารถูกขับออกมาจากกระเพาะอาหารเพื่อย่อยอาหารหลังจากนั้น อาหารก็จะผ่านไปยังลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งจะมีน้ำย่อยจากตับอ่อน และน้ำดีช่วยย่อยอาหารต่อไปลำไส้เล็ก เป็นท่อกล้ามเนื้อยาวประมาณ 6 เมตร (20 ฟุต) เริ่มจากปลายสุดของกระเพาะอาหาร ลงไปจนถึงลำไส้ส่วนต้น ลำไส้เล็กสามารถหลั่งน้ำย่อยออกมา เพื่อย่อยอาหารให้สมบูรณ์ ลำไส้ใหญ่ ยาวประมาณ 1.5 เมตร (5 ฟุต) มีหน้าที่สำคัญ คือ ดูดซึมสารเหลว ส่วนกากที่เหลือนั้น จะกลายเป็นอุจจาระอยู่ในลำไส้ใหญ่และถ่ายออกมาทางทวารหนัก

7. โรคระบบประสาทจิตเวช

โรคที่มีการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท ซึ่งได้แก่ตัวสมองและไขสันหลังรวมทั้งแขนงเส้นประสาททั่วร่างกาย ซึ่งมีพยาธิสภาพที่แสดงให้เห็นได้ โดยการตรวจร่างกายหรือโดยการทดสอบทางห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น การตรวจน้ำไขสันหลัง การเอ๊กซเรย์กระโหลกศีรษะ หรือการตรวจคลื่นสมอง เป็นต้น สาเหตุของโรคระบบประสาทไม่ได้เกิดจากอารมณ์หรือจิตใจ แต่เกิดจากพยาธิสภาพของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบประสาทเอง โรคระบบประสาทนี้ต้องการการรักษาด้วยาหรือด้วยการผ่าตัด โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยา หรือประสาทศัลยศาสตร์ สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพยาธิสภาพของสมองและไขสันหลัง ที่เรียกว่า โรคระบบประสาท

6. โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคหนึ่งที่พบบ่อย ในที่นี้หมายถึงภูมิแพ้จากฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศเรามองไม่เห็น ทำให้เกิดอาการแพ้ คันจมูก น้ำมูกไหล เป็นไม่มากแต่เรื้อรังก่อความรำคาญให้ไม่สะดวกในการทำงาน สาเหตุป่วยเป็น โรคภูมิแพ้ ก็รู้ๆ อยู่แต่ไม่สามารถแก้ไขให้หายขาดได้ เพราะฝุ่นมีอยู่ทั่วไป ทำให้เป็นโรคเรื้อรังประจำตัวกันมาก
โรคภูมิแพ้ เรื่องแพ้ฝุ่นละอองบางคนโชคดีไม่แพ้ ผู้ที่แพ้จะมีอาการมากน้อยต่างกัน ตั้งแต่คันจมูก คันตา น้ำมูกใส จามบ่อย แน่นจมูก เจ็บคอ ไปจนถึงอาการมากแน่นหอบหายใจไม่ค่อยออกแบบหอบหืด จะเห็นมาโรงพยาบาลกันบ่อยตอนเช้ามืด มาสูดดมออกซิเจน กันสักพัก พอค่อยดีขึ้นจึงค่อยกลับไป

สารทำให้เป็น โรคภูมิแพ้ ที่พบบ่อยมี ฝุ่น นุ่น ละอองเกสรพืช ไรฝุ่น ขนสัตว์จากสุนัขและแมวไปจนถึงเชื้อราในอากาศ รวมทั้งอุณหภูมิของอากาศเป็นตัวช่วย บางครั้งอากาศหนาวเย็นจะมีอาการแพ้ง่ายขึ้น ภาวะมลพิษ บางคนอยู่ในบ้านหรือในตัวเมืองแพ้ พอออกไปอยู่ริมทะเลได้สัมผัสอากาศที่เย็นสบาย หรืออยู่บนที่สูงภาวะมลพิษน้อย อาการอาจทุเลาลงหรือหายไป รู้สึก สดชื่นสบายขึ้น หรือบางท่านว่าอาจเกิดจากพันธุกรรมได้ถึง 75%
โรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินหายใจได้แก่ หืด จมูกอักเสบ คาดว่ามีถึง 18 ล้านคน แพ้จากไรฝุ่นราว 30% ในฝุ่น จะมีตัวไรฝุ่นแฝงอยู่ เรามองไม่เห็น ชอบอากาศชื้น ในบ้านเรือนจะเกาะอยู่ทั่วไปและ บนโต๊ะทำงาน บนหนังสือที่วางอยู่ข้างหน้าเรา 
นอกจากนี้ยังอยู่ทั่วไปในบ้าน ห้องนอน ได้แก่ ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม พรมปูพื้น ผ้าม่าน ตุ๊กตา และเครื่องเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งวัตถุสะสมต่าง ๆ ชอบอุณหภูมิราว 25 องศา ความชื้น 70-80 หน่วย ออกไข่มาก ขยายพันธุ์รวดเร็ว ทั้งตัวและมูลมีโปรตีนก่อภูมิแพ้สูง เรียงลำดับแพ้จากมากไปน้อย คือมูล ตัวแก่ ตัวอ่อน และไข่

การหลีกเลี่ยงไรฝุ่น จะทำให้อาการแพ้ลดลง โดยปกติถ้ามีไรฝุ่นมากกว่า 2 ไมโครกรัมต่อฝุ่น 1 กรัม จะทำให้เกิดการแพ้ ถ้ามากถึง 10 ไมโครกรัม จะทำให้จับหอบหืดเฉียบพลันได้ การป้องกัน ทั้งๆ ที่รู้แต่การป้องกันยาก จะไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นทั้งนั้น ดีที่สุด ก็คือ การทำความสะอาด เอาวัตถุที่ไม่จำเป็นออกจากห้องทำงานและห้องนอนให้มากที่สุด ปัดกวาด เอาผ้าคลุมไว้ ซักผ้าคลุม ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน มุ้ง บ่อยหน่อย หรือไม่ก็เอาไปตากแดด คงพอช่วยผ่อนคลายได้
นอกจากนี้ ดอกไม้ วัชพืช ล้วนมีละออง ขนของสัตว์เลี้ยง ได้แก่ สุนัข แมว ก็เช่นกัน อาจทำให้แพ้ได้ โรคภูมิแพ้ เป็นเรื่องที่ต้องหาสาเหตุว่ามาจากอะไร ภูมิแพ้จากทางเดินหายใจถ้ารู้ว่ามาจากฝุ่นละออง ที่ทำงานและที่นอนเป็นที่ที่เราสัมผัสมากที่สุดในชีวิตประจำวันหากได้มีการปรับปรุงแก้ไขคงจะช่วยให้ทุเลาลงได้

5. โรคระบบทางเดินหายใจ

ฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศมีทั้งขนาดที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และที่มีขนาดเล็กมากจนเรามองไม่เห็น เมื่อเราหายใจเอาฝุ่นเข้าไปในปอด จะทำให้เป็นโรคปอดชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น ฝุ่นฝ้าย อาจทำให้มีอาการคล้ายเป็นหืด ฝุ่นหินอาจทำให้ปอดแข็ง ฝุ่นแร่ใยหินอาจทำให้ปอดแข็งและเป็นมะเร็งได้ด้วย ( โรคแอสเบสซีส) ผู้ที่เป็นโรคปอดจากการหายใจเอาฝุ่นเข้าไปมักมีอาการเหนื่อยง่าย หอบ หายใจลำบากและอ่อนเพลี และมีโอกาสที่จะเป็นวัณโรคได้ด้วย

4. โรคระบบทางเดินอาหาร

โรคระบบทางเดินอาหาร หรือ ย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า GI disease คือโรคต่างๆที่เกิดขึ้น กับอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งได้แก่ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อน สาเหตุของโรคทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยที่สุด คือ -จากการติดเชื้อโรค โดยเชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคแผลเปบติค โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคอาหารเป็นพิษ โรคไทฟอยด์ โรคไส้ติ่งอักเสบ และอหิวาตกโรค) รองลงไปคือการติดเชื้อไวรัส (เช่น โรคท้องเสีย/ท้องร่วงจากไวรัสโรตา โรคไวรัสตับอักเสบ) และเชื้อพยาธิ (เช่น พยาธิตัวกลม พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวตืด) ส่วนการติดเชื้อรา มักพบในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เช่น โรคเอดส์/การติดเชื้อเอชไอวี

3. โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น

อาการปวดหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวไร่ชาวนา กรรมกรที่ทำงานหนัก และใน หมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่า เป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อ ยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไต กินอย่างผิด ๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้น จึงควรแนะนำชาวบ้านเข้าใจถึง สาเหตุของอาการปวดหลัง และควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น โดยทั่วไป การปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย

2. โรคของต่อมไร้ท่อ (โรคกลุ่มเบาหวาน ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต)

โรคทางต่อมไร้ท่อเป็นโรคที่ยังไม่มีวิธีป้องกัน ยกเว้น โรคเบาหวาน ซึ่งการป้องกันสำคัญ คือ ป้องกันการเกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน โดยการจำกัดการกิน อาหารไขมัน อาหารเค็ม อาหารแป้งและน้ำตาล ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุข ภาพทุกๆวัน นอกจากนั้น เพื่อลดความรุนแรงของโรค ควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน เพื่อการรักษาควบคุมโรคตั้งแต่ในระยะยังไม่มีอาการ เพราะการควบคุมโรคจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาเมื่อเกิดอาการแล้วเป็นอย่างมาก

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคหัวใจล้มเหลวไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นเดี่ยวๆแต่มักจะมีโรคอื่นๆเป็นผลตามมา โดยปกติหัวใจจะมีระบบกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ แต่ในกรณีผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว การบีบตัวของหัวใจจะค่อยๆเสื่อมลง และไม่สามารถทำงานตามความต้องการของร่างกาย ภาวะหัวใจล้มเหลวจึงมีผลกระทบต่อการทำงานของไตในการขับเกลือโซเดียมและของเสียออกจากร่างกาย จึงเกิดการตกค้างอยู่ในร่างกายมากเกินไป ทำให้เกิดอาการบวมตามบริเวณข้อเท้าและขา

นอกจากนี้อาจจะไปสะสมอยู่ที่ปอดด้วยทำให้หายใจไม่สะดวก ความรุนแรงของสภาวะและอาการป่วยขึ้นอยู่กับความสามารถในการบีบตัวของหัวใจ ร่างกายสามารถทำงานชดเชยจากการเสื่อมของหัวใจได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งแต่จะเป็นผลเสียในระยะยาว อาการเริ่มต้นของภาวะหัวใจเสื่อมการทำงานที่สามารถสังเกตได้ เช่น หอบเหนื่อยมีอาการอ่อนเพลียเมื่อออกกำลังกาย หากการเสื่อมของหัวใจมากขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อยแม้ขณะอยู่เฉยๆโรคหัวใจล้มเหลวจะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีิวิตของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลบ่อยครั้ง

Credit: http://board.postjung.com/725236.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...