ทำไมต้องคลุมหิญาบ?
อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ยกย่องสถานะของสตรี ดังนั้นกฎระเบียบว่าด้วยการแต่งกายนั้นก็เป็นบทบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งรู้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดีและหวังดีต่อมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วทั้งร่างกายของสตรีถือเป็นส่วนเย้ายวนต่อเพศตรงข้าม ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงได้บัญญัติให้ทั้งร่ายกายของสตรีถือเป็นส่วนพึงสงวน(เอาเราะฮฺ) ที่ต้องปกปิด ยกเว้นหากจะเปิดก็อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนสำหรับผู้ชายนั้น ส่วนพึงสงวนที่ต้องปกปิดก็คือบริเวณตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวเข่า โดยไม่มีการจำกัดว่าเครื่องแต่งกายนั้นจะเป็นชุดของวัฒนธรรมใดหรือชาติใด แต่หากต้องการจะได้รับผลบุญมากขึ้นก็ให้แต่งกายซึ่งเป็นรูปแบบที่นบีมุฮัมมัดเคยสวมใส่ไว้เพื่อเป็นการแสดงความรักที่มีต่อท่านนบี และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาวมุสลิม ซึ่งกฎระเบียบเรื่องการแต่งกายทั้งหญิงและชายก็ล้วนมาจากบทบัญญัติของอัล-กุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าการที่มุสลิมแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมหรือประเพณีของชาติใดหรือท้องถิ่นใด แต่มันเป็นการแต่งกายตามบัญญัติศาสนา
แต่สำหรับสตรีส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และบรูไนนั้นมีการแต่งกายที่ผิดหลักการศาสนา เช่น คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้ารัดรูป หรือคลุมศีรษะไม่มิดชิดเปิดผมและคอ หรือบ้างก็คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้าบางๆ และยิ่งในยุคปัจจุบันมีการคลุมศีรษะแต่สวมเสื้อเอวลอย..! ทำนองนี้เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการแต่งกายที่ผิดหลักศาสนา และทำให้คนต่างศาสนิกมีความเข้าใจเรื่องการแต่งกายของมุสลิมแบบผิดๆไปด้วย
ในสังคมปัจจุบันได้มีมุมมองที่แสนจะไร้เหตุผลว่า การที่ให้สตรีคลุมผมคลุมหน้าและแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นการกดขี่สตรี! หรือเป็นการปิดกั้นสิทธิของสตรี! ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ขัดกับความเป็นจริงและสามัญสำนึกของมนุษย์ เพราะมนุษย์เราทุกคนก็รู้ดีว่าสตรีที่มีเกียรติคือคนที่รักนวลสงวนตัว มีกิริยาที่สุภาพและมีการแต่งกายที่เรียบร้อย ดังนั้นการปกปิดเรือนร่างของสตรีก็เป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าร่างกายของสตรีนั้นมีเกียรติ เป็นสิ่งพึงสงวนปกป้องปกปิดแม้จะเป็นแค่สายตาก็ตาม ส่วนผู้ชายคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการกดขี่สตรีนั้นถือว่าเขาพูดโกหก! เพราะจริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นโอกาสในการมองของเขามากกว่า! และสตรีคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการปิดกั้นสิทธิสตรี จริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นสิทธิในการทำชั่วนะครับ เพราะการที่เราเปิดส่วนพึงสงวนนั้นก็เท่ากับว่าเราไปเย้ายวนให้ผู้ชายนั้นเกิดตัณหา และสิ่งเหล่านี้ตามตรรกะเหตุผลแล้วไม่ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะครับ เพราะตราบใดที่มันไปกระทบสายตาผู้อื่นนั่นก็ถือว่ามันเป็นสิทธิของผู้รับภาพนั้นด้วย ก็เหมือนกับคุณเปิดเพลงฟัง ตราบใดที่เพลงนั้นมันเสียงดังหนวกหูไปถึงข้างบ้าน นั่นหมายความว่ามันเป็นสิทธิของผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นด้วย
ดังนั้นเป็นที่พิสูจน์ได้แน่นอนแล้วไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยว่า เรือนร่างของสตรีนั้นก่อความวุ่นวายให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นได้ในข่าวทุกๆวันว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมก็คือตัวสตรีเอง ซึ่งความจริงมันได้ปรากฏให้เห็นว่าประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามอย่างสะอุดีย์อาระเบียนั้นในรอบปีไม่มีข่าวอาชญากรรมทางเพศเลย (รวมทั้งอาชญากรรมอื่นๆด้วย) เพราะกฎหมาย อิสลามมีบทลงโทษที่เด็ดขาด แต่หากมีข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราเมื่อไหร่ นั่นจะเป็นข่าวดังในรอบ 2-3 ปีของประเทศเขาเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากประเทศไทยเราที่มีข่าวเหล่านี้ปรากฏแทบทุกวัน นั่นก็เพราะการแต่งกายที่แตกต่างกันนั่นเอง และสาเหตุอื่นๆที่ทำให้ประเทศสะอุดีย์อาระเบียมีความสงบสุขกว่าไทยหลายเท่า ก็เพราะกฎระเบียบในการปกครองและความเชื่อทางศาสนา
อิสลามจึงได้จำกัดในเรื่องสิทธิของทั้งหญิงและชายก็เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขและความสันติ(ตามชื่อศาสนา) ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่มีสิทธิในการทำชั่ว มันแตกต่างจากสังคมไทยและสังคมของคนในอดีตที่จำกัดสิทธิไว้เฉพาะผู้หญิง ส่วนสำหรับผู้ชายนั้นจะทำชั่วอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับอิสลามแล้วถือว่าทำชั่วไม่ได้ทั้งสองเพศ แม้แต่การมอง ผู้ชายจะจ้องมองผู้หญิงในลักษณะชู้สาวก็ไม่ได้ ซึ่งกรณีอย่างนี้ในอัล-กุรอาน (บทอันนูรฺ โองการที่ 30)ได้สั่งให้ผู้ชายลดสายตาลงว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาชาย ให้พวกเขาลดสายตาพวกเขาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเขาไว้” ส่วนสำหรับสตรีนั้น อัล-กุรอานได้บัญญัติว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิง ให้พวกเธอลดสายตาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับเว้นแต่ส่วนที่เปิดเผยได้ และให้เธอปิดผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอก” (คำแปลบทอันนูรฺ โองการที่ 31)
อนึ่ง เรื่องข้อบทบัญญัติเกี่ยวกับการคลุมผมและการแต่งกายที่มิดชิดของสตรีนั้นไม่ใช่ถูกระบุไว้เฉพาะในคัมภีร์อัล-กุรอานเท่านั้น แต่ยังมีระบุไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นด้วยทั้งคัมภีร์ของชาวฮินดู, คัมภีร์ของชาวยิวและคริสต์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าสตรีชาวคริสต์ในอดีตกาลนั้นจะมีการคลุมศีรษะเช่นกัน แต่ในปัจจุบันพวกเขาก็เลิกยึดถือบทบัญญัตินั้นซะแล้วที่เหลืออยู่ก็มีแต่เฉพาะซิสเตอร์เท่านั้นที่คลุม
ศาสนา ก็ คือ ศาสนา ไม่ใช่ตัวบุคคลอย่าตัดสินใจว่าศาสนานั้นไม่ดี
คุณดูก่อนนะค่ะว่าคนๆนั้นได้ใช้ศาสนาหรือป่าว ก่อนที่คุณจะศึกษา นะค่ะ