เมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา The Hunger Games ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่แห่งโลกภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมสุดฮิต ซึ่งเป็นหนังสือชุดที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Amazon แซงหน้า Harry Potter โดยเฉพาะในอเมริกา ทั้งสามเล่มก็สามารถขายได้ไปแล้วกว่า 50 ล้านก้อปปี้ จนสุดท้ายก็ทำให้หนังกวาดรายได้ถล่มทลายทั่วโลกไปกว่า 700 ล้านเหรียญ ทำลายสถิติรายได้เปิดตัวอันดับ 1 รวมทั่วโลกสูงที่สุดตลอดกาล และยังได้รับคำวิจารณ์ระดับเยี่ยมจากสื่อชั้นนำทั่วโลก โดยมีคะแนนเฉลี่ยในเว็บไซด์ Rottentomatoes สูงถึง 85%

นอกจากที่ The Hunger Games เป็นหนังสร้างชื่อให้กับ 3 นักแสดงนำ 3 คาแรกเตอร์ขึ้นสู่ทำเนียบความฮิต ได้แก่ "แคทนิส" เจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, "พีต้า" จอช ฮัทเชอร์สัน และ "เกล" เลียม เฮมส์เวิร์ธ โดยใน Catching Fire นอกจากทีมนักแสดงหน้าเก่ากลับมารับบทเดิมอย่างครบถ้วน ก็ยังมีตัวละครสำคัญเพิ่มขึ้นอีกอย่าง ฟินนิก โอแดร์ ที่รับบทโดย แซม คาฟลิน จาก Snow White and the Huntsman, โจแฮนน่า เมสัน ที่รับบทโดย จีน่า มาโลน จาก Sucker Punch รวมถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ฝีมือคุณภาพอย่าง เจฟฟรี่ย์ ไรท์ จาก Casino Royale ที่เข้ามารับบทเป็น บีธี่ย์

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงที่ทำให้คนทั้งฮลลลิวู้ดมาสนใจ เมื่อเธอได้เข้าชิงออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิง จาก Winter's Bones ด้วยวัยเพียงแค่ 20 ปี ก่อนที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกของหนังบล็อคบัสเตอร์อย่าง X-Men: First Class (เธอรับบทเป็น มิสทีค) ก่อนที่ทั้งโลกจะรู้จักเธอในบทบาท แคทนิส เอเวอร์ดีน ใน The Hunger Games โดยเธอก็ได้พูดถึงความรู้สึกที่ได้กลับมาว่า "มันยอดเยี่ยมที่กลับมารับบทเป็น แคทนิส  มันให้ความรู้สึกเหมือนกับพวกเราเรียนปีสองในมหาวิทยาลัย สิ่งที่น่าสนใจในภาคนี้ก็คือทุกสิ่งมีความเข้มข้นตั้งแต่วินาทีแรก เพราะเราทำให้ทุกคนได้รู้จักกับโลกใบนี้แล้ว โดยความพิเศษของ Catching Fire ก็คือการที่เราจะได้เห็นเกมล่าชีวิตที่มีเดิมพันสูงกว่าเดิม เมื่อผู้ชนะในปีที่ผ่านๆมาของแต่ละเขตต้องมาต่อสู้กันเพื่อความอยู่รอด"

 

Credit: http://www.mixedz.com/