ทราบดีในความรู้สึกครับ แต่ทว่า...ลองอ่านสิ่งที่ผมจะกล่าวด้านล่างนี้ก่อน ผมอ่านเจอในหนังสือพระไตรปิฏก เผื่อเป็นข้อคิดเล็กๆน้อยๆ ถ้าคลาดเคลื่อนในตอนใด ผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับ เริ่มเลยแล้วกัน....
การทำปาณาติบาต หรือการฆ่าตัวตายในเวลาที่ยังไม่ถึงการณ์ พระพุทธเจ้าทรงตรัสตำหนิไว้ว่าเป็น "บาปกรรมที่ใหญ่หลวงนัก" เทียบเท่าพอๆกับการฆ่าบิดา-มารดาผู้ให้ชีวิตเลยทีเดียว แถมซ้ำผู้ที่เคยรักเราทุกคนต้องมานั่งทุกข์เพราะการกระทำที่ไร้สติชั่ววูป...บาปหนักมาก
แล้วต้องประสบอะไรบ้างหลังความตาย....เพราะการตายนี้ยังไม่ใช่เวลา ผู้ฆ่าตัวตายจึงต้องอยู่ในสภาพสัมภเวสี โดนรังแกได้โดยง่าย ไม่ว่าจากสัมภเวสีตนอื่นๆหรือเจ้าที่-เจ้าทาง มิหนำซ้ำ วิญญาณของผู้ฆ่าตัวตายต้องตกอยู่ในสภาพการกระทำสุดท้าย คือตอนฆ่าตัวตายในสภาพนั้นเรื่อยๆ เช่น แขวนคอแล้วดิ้นกระแด่วๆ จนหยุดดิ้น เมื่อหยุดดิ้น ก็ต้องเริ่มแขวนคอใหม่ ดิ้นใหม่ ซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงวาระสิ้นสุดที่แท้จริง เช่นถ้าอายุแค่ 30 ปี ฆ่าตัวตายก่อนเวลาอันควรโดยที่จริงๆแล้วสามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้ถึงอายุ 75 ปี นั่นคือคุณต้องแขวนคอซึ่งเป็นการกระทำสุดท้าย วนซ้ำๆ ไปอีก 45 ปี โดยที่ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากความเจ็บปวดที่ต้องทนทุกข์เช่นนี้....นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ต้องโดนวิญญาณตนอื่นๆมาแกล้งอีกน่ะ
เมื่อครบกำหนดอายุขัยที่แท้จริงแล้ว เรื่องเสวยสุขจากบุญที่เคยทำมา ไม่ขอกล่าวก็แล้วกัน ส่วนโทษที่ต้องได้รับ...ต้องไปอยู่ในภูมิที่ต่ำสุด...คือเปรต และอสูรกาย เป็นเวลา หลายๆแสนกัปป์ (จำไม่ได้ว่า 1 กัปป์คือ กี่หมื่นกี่แสนปี) จากนั้น เลื่อนมาเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานที่เกิดในตม กินของสกปรกเช่นพวกน้ำหนอง ซากสัตว์ที่เน่าเหม็น อุจจาระ สิ่งปฏิกูล อีกหลายแสนกัปป์ จากนั้นมาเกืดเป็นสัตว์เดียรฉานพวก แมลง ยุง หนอน หรือสัตว์ชั้นต่ำ อีกหลายแสนกัปป์ แล้วมาเป็นสัตว์เดียรฉานที่ดีขึ้นเช่น หมู หมา กา ไก่ ฯลฯ อีกหลายแสนกัปป์ สุดท้าย...ก่อนจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก ต้องดูว่า ตั้งแต่สมัยเปรต-อสูรกาย จนเดียรฉานชาติสุดท้าย ทำความดีอะไรมาบ้าง (ตอนเป็นสัตว์ฯ ทำความดีอะไรได้บ้างนอกจากเป็นอาหารให้มนุษย์)
คิดดูว่า ตอนเป็นสัตว์ ต้องถูกฆ่าอีกกี่ครั้ง ส่วนญาติพี่น้อง เค้าจะทำบุญให้คุณได้มากเท่าไรเชียว สังฆทานอย่างมากก็ปีละครั้งสองครั้ง แล้วเค้าก็ทำให้คุณได้เฉพาะที่เค้ามีชีวิตอยู่เท่านั้น พอทุกคนตายตามอายุขัย คุณก็จะถูกลืม ไม่มีใครทำบุญแบบเจาะจงให้อีกแล้ว....
แค่อ่านก็เหนื่อยแล้ว......ยังอยากจะฆ่าตัวตายอีกรึเปล่า ?
ที่ผมบอกข้างต้นนี้ อ้างอิงจากบางช่วงบางตอนในพระไตรปิฎกเท่านั้น ยังไม่ได้เจาะรายละเอียด เพราะ...ยาววววววววววววววววววววววววววว......วววว มาก
เพราะฉะนั้น ตอนยังมีสติดีๆ ก็คิดใตร่ตรองไว้ก่อนว่า ถ้าเกิดเวลามีปัญหาคิดอะไรไม่ออก ควรจะทำอย่างไรอย่ามองแต่ปัญหาของตัวเอง ขอให้มองปัญหาของคนอื่นด้วย แล้วจะเห็นว่า ปัญหาของเรา มันก็แค่ฝุ่นธุรีดินเท่านั้น
ปล.เจ้าของกระทู้ก็เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายมาแล้ว โดยที่ตัวเองไม่สามารถห้ามร่างกายได้ แต่ก็ได้ครอบครัวคอยอยู่เคียงข้างเลยผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ เลยอยากให้คนที่คิด หรือจะคิด หรือกำลังคิด ได้ลองเปิดใจคุยปัญหากับคนอื่นๆ ระบายกับคนรอบตัวเรา อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ใจเราสบายขึ้น