ตามล่าหา ''ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์''

หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า “จอกศักดิ์สิทธิ์” หรือ THE HOLY GRAIL ซึ่งเป็นจอก ที่พระเยซูใช้ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ท่าน และผู้คนทั่วโลก พากันตามล่าหาจอกนี้มานานนับพันปีมาแล้ว กระทั่งแม้แต่ในนิยายที่ฮือฮาไปทั่วโลก อย่าง “รหัสลับดาวินซี (THE DAVINCI CODE)” ก็ยังเป็นเรื่องฆาตกรรมซ่อนเงื่อนที่เกี่ยวกับจอกศักดิ์สิทธิ์ เช่นกัน

สัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่ง อีกอย่างหนึ่งขององค์เยซู คือ ไม้กางเขนที่ตรึงพระองค์จนสิ้นชีพนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหน มีใครเคยคิดตามล่าหาไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (THE HOLY CROSS) หรือหลายคนเรียกว่า ไม้กางเขนจริง (TRUE CROSS) บ้างหรือไม่ มาติดตามกัน



อันที่จริงเครื่องหมายกางเขน (CROSS) นั้น มีอยู่ก่อนสมัยศาสนาคริสเตียนแล้ว มีหลักฐานคือ ภาพเขียนบนแผ่นหินแบนๆ ในถ้ำแห่งหนึ่งที่ไพรีนีส์ของฝรั่งเศส ซึ่งมีรูปเรขาต่างๆ รวมทั้งรูปมนุษย์ และสัญลักษณ์กางเขน ซึ่งภาพเหล่านี้ ประเมินแล้วเขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อ 10,000 ปีก่อน ค.ศ.


รูปกางเขนอาจบ่งบอกถึงการชี้ทิศทั้งสี่และ ตรงกลางก็คือ “โลก” นั่นเอง แต่บางคนสันนิษฐานว่า เป็นซี่ล้อ และล้อนั้นเป็นวงกลม หมายถึง พระอาทิตย์ ซึ่งชนคริสเตียนรุ่นแรกๆ นั้น ถือกันว่า องค์พระไครสท์(พระคริสต์) มีความเชื่อมโยงกับพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่กว่าทั้งมวล แขนทั้งสองกางหมุนตลอดความกว้างและยาว ส่วนขาทางตั้งก็ครอบคลุมทั้งความสูงสุดยอด ตลอดจนความลึกดำดิ่งถึงบาดาล



เครื่องหมายสวัสดิกะก็เป็นรูปกางเขนแบบหนึ่งที่พวกนาซีนำมาใช้

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ กางเขนลาติน (CRUXIMMISSA) ที่มีขาล่างยาวกว่าอีก 3 แขน และที่บรรดาคริสต์ศาสนิกชน ใช้มือทำเครื่องหมายบนหน้าผากและ หน้าอกในเวลาอธิษฐาน สิ่งใดๆ นั่นเอง

หากทว่าก่อนจะมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสักการะนั้น ไม้กางเขนได้ถูกใช้สำหรับ เป็นเครื่องมือประหารนักโทษ และไม่ใช่นักโทษธรรมดาๆ หากเป็นอาชญากรที่ทำความผิดร้ายแรง หรือเป็นนักโทษชั้นต่ำโดยเฉพาะ พวกทาส นักโทษจะถูกมัด หรือตอกตะปูตรึงมือทั้งสอง และเท้าไว้ แล้วปล่อยให้ตากแดดตากลมตายไปอย่างสุดแสนทรมาน


ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องการตรึงกางเขนพระเยซู หรือที่เรียกกันว่า CRUCIFIXION

ในปี พ.ศ. 543 ทารกหนึ่งได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านเบธเลเฮม แขวงกรุงเยรูซาเลม ประเทศปาเลสไตน์ (อิสราเอลปัจจุบัน) ผู้เป็นมารดามีนามว่า มาเรีย เมื่อเติบโตขึ้นในเมืองนาซาเรธ หนุ่มจีซัส (JESUS) หรือพระเยซู มีความเฉลียวฉลาดมาก ได้เที่ยวอบรมสั่งสอนผู้คน ให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่อ้างว่าได้รับมาจากพระเจ้า  โดยพระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้พระองค์มาเป็นผู้แทน ในการปลดเปลื้องบาปเคราะห์ ของมนุษย์ จึงทรงได้นามว่า ไครสท์ (CHRIST=ผู้ เปลื้องทุกข์)









เมื่อผู้คนจำนวนมากหันมานับถือคำสอนของพระเยซู ทำให้ชาวยิวที่เคร่งครัดในศาสนาเดิม มีความโกรธแค้น ตรงนี้ต้องเข้าใจว่า แม้จะมีพระเจ้า (GOD) องค์เดียวกัน แต่ยิวแท้จะนับถือเฉพาะพระเจ้า ไม่ยอมรับผู้อื่นที่มาแอบอ้างว่าเป็นพระบุตร  ยิวจึงมิใช่คริสเตียน (ที่นับถือพระเยซู) ยิวไปฟ้องผู้ปกครองเยรูซาเลม ซึ่งเป็นโรมันให้กำจัดพระเยซู พอดีกับโรมันกำลังหวั่นเกรงการก่อตัวชุมนุมของเหล่าสาวกพระเยซู จึงนำตัวพระองค์มาตรึงไม้กางเขนในปี พ.ศ. 576 จนสิ้นชีพ รวมอายุเพียงแค่ 33 ปี

หลังสิ้นพระชนม์ โจเซฟ แห่งอาริมาเธีย ได้ร้องขอต่อ ปอนติอุส ไพเลท ผู้ปกครอง จากโรม ในการนำศพลงมาฝัง เชื่อกันว่าเมื่อฝังองค์เยซูแล้ว โจเซฟก็ได้นำ กางเขนกับแผ่นจารึกฝังลงไปด้วย



แผ่นจารึกนี้เรียกกันว่า ไตตุลุส (TITULUS) เป็นแผ่นไม้ที่มีตัวอักษรซึ่ง ไพเลท สั่งให้เขียนไว้ว่า “จีซัสแห่งนาซาเรธ กษัตริย์แห่งยิว” แล้วนำไปติดกับไม้กางเขนที่ตรึงองค์เยซู อักษรจารึกดังกล่าวนี้ เป็นการเยาะหยัน ที่พระเยซูทรงเป็นประหนึ่งผู้นำของชาวยิว โดยเขียนไว้เป็น 3 แถว 3 ภาษา ฮีบรู, กรีก และละติน ที่น่าประหลาดก็คือ แถวที่ 2 กับ 3 นั้น เขียนจากขวาไปซ้ายแบบเดียวกับที่อ่านจากกระจกเงา การเขียนลักษณะนี้แพร่หลายอยู่ในอดีตจนสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 จึงหมดไป

จุดที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนและ ฝังพระศพนั้น อยู่ทางเหนือของเนินเขาไซออน ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโบสถ์แห่งสุสานศักดิ์สิทธิ์ (CHURCH OF THE HOLY SEPULCHER)



ลุล่วงมาในปี ค.ศ. 350 เชื่อกันว่าได้มีการขุดนำกางเขนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา โดยนักบุญ ไซริล บิชอปแห่งเยรูซาเลม กล่าวว่าไม้กางเขนถูกแบ่งออกเป็นหลายชิ้น และแจกจ่ายไปทั่ว

นอกจากนี้ ได้มีบันทึกของ นักประวัติศาสตร์ อิตาเลียน ในศตวรรษเดียวกันนี้ระบุว่า ในปี ค.ศ. 326 พระนางเฮเลนา ซึ่งเป็นพระราชมารดาของ จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งกรุงโรม ได้เสด็จมาเยือนกรุงเยรูซาเลม และได้บัญชาให้ขุดค้นหา ไม้กางเขนในบริเวณสุสาน พระนางได้พบกางเขน 3 อัน ตะปูที่ใช้ตรึงนักโทษ และแผ่นจารึกที่มีอักษร “นี่คือกษัตริย์แห่งยิว”

ทั้งนี้ เพราะมีนักโทษอีก 2 คน ที่ถูกตรึงกางเขนในวันเวลา เดียวกันกับพระเยซู แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ว่ากางเขน อันไหนเป็นอันจริง



วิธีการนั้นไม่ยาก แต่น่าอัศจรรย์ยิ่ง

นั่นคือ นำกางเขนเข้าไปให้สตรีคนหนึ่ง ที่กำลังป่วยหนักใกล้สิ้นใจได้สัมผัส กางเขนแท้สามารถดลบันดาลให้เธอหายป่วยได้เป็นปลิดทิ้ง!

แผ่นจารึกและกางเขนที่พระนางเฮเลนานำกลับมากรุงโรมนั้น ได้เก็บบูชาไว้ในโบสถ์ ซานตาโกรเซ (CHURCH OF SANTA GROCE) ใกล้กับวังเฮเลนา โดยไม้กางเขนได้ถูกแบ่ง ออกเป็นชิ้นๆ และแจกจ่ายไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ ศรัทธาแก่คริสต์ศาสนิกชนทั้งหลาย ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ท่านบิชอปไซริลได้กล่าวไว้

สำหรับตะปูหรือหมุดที่ใช้ตรึงองค์พระเยซูนั้น ไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีอยู่ 3 หรือ 4 ดอก แต่น่าจะเป็น 3 ดอก ที่ใช้ตรึง 2 มือ กับ 1 เท้า (วางทับกัน) ซึ่งชาวคริสต์ เปรียบเสมือน “สามองค์ (TRINITY)” คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ



ว่ากันว่า ตะปูดอกหนึ่งถูกนำไปประดับ ในวงกลมหน้ามงกุฎเหล็กแห่งลอมบาร์ดี้ ณ เมืองมอนซ่า

ตะปูศักดิ์สิทธิ์อีกดอกหนึ่ง มีจารึกใน ประวัติศาสตร์ว่า ในคราวที่จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงไปเยือนกรุงคอนสแตนติโนเปิล ที่พระองค์ตั้งให้เป็นนครหลวงแห่งพระราชอาณาจักรนั้น พระองค์ได้ทรงอาชาที่มีเครื่องผูกหัวที่ประดับด้วยตะปูศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประกาศให้โลก ได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนาคริสเตียน ซึ่งพระองค์ได้นำมาให้อาณาจักรโรมันยอมรับนับถือ แทนที่เทพเจ้าทั้งหลายที่โรมันเคารพบูชามาแต่เดิม (อาทิ จูปิเตอร์, อปอลโล, เนปจูน ฯลฯ)

ชิ้นกางเขนส่วนหนึ่ง พระนางเฮเลนาได้ทรงมอบคืนแก่ เยรูซาเลม รวมทั้งบางส่วนของแผ่นจารึกไตตุลุสด้วย และสองสิ่งนี้ ก็กลายเป็นที่ดึงดูดให้ศาสนิกชนคริสเตียนมาจาริกแสวงบุญที่นครนี้





เมื่อนักรบครูเสดรุ่นแรกยกทัพมาถึงเยรูซาเลมในศตวรรษที่ 11 พวกเขานำเครื่องหมายกางเขนเป็นสัญลักษณ์ในการออกรบกับทัพมุสลิมปรปักษ์ ตลอดแนวหุบเขาจอร์แดน นักรบครูเสดได้สร้างป้อมค่ายเป็นเครือข่าย และได้นำชิ้นส่วนกางเขนศักดิ์สิทธิ์มาไว้ที่ป้อมค่ายเบลโวเร่ เหนือทะเลสาบกาลิลี ได้เกิดการรบครั้ง มโหฬารขึ้นในปี ค.ศ. 1187 กองทัพของ ซาลาดิน ขุนศึกผู้เข้มแข็งแห่งมุสลิมได้บดขยี้ทัพคริสเตียนยับเยิน ท่านบิชอปแห่งเอเคอร์ ซึ่งนำชิ้นส่วนกางเขนออกรบด้วย ได้เกิดเพลิงไหม้ในการรบ และชิ้นส่วนกางเขนศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในการศึกนี้


ชิ้นส่วนแผ่นไตตุลุสที่พระนางเฮเลนานำมาที่โรม ได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับจนแทบไม่มีผู้ใดได้รู้ว่าอยู่ที่ใดในโบสถ์ซานตาโกรเซ ถึง ค.ศ. 1492 จึงพบว่าที่แท้อยู่ภายใต้ภาพปูนเปียก ก่อให้เกิดความตื่นเต้นแก่ชาวคริสต์เป็นอย่างยิ่ง และมหาประติมากร มิเกลันเจโล (หรือที่เราเรียกผิดๆ ว่า ไมเคิล แองเจโล นั่นแหละ) ก็ได้ศึกษาแผ่นไตตุลุสนี้ด้วยตนเอง และสลักไม้ เป็นรูปการตรึงกางเขนพระเยซู พร้อมด้วยแผ่นจารึกที่เขียนจากขวาไปซ้ายด้วย



นั่นก็เป็นเรื่องราวหรือ ตำนานที่บอกเล่ากันต่อๆ มา เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปกว่าสองพันปี สถานที่อันเป็นจุดกำเนิดเหตุการณ์ก็ได้ถูกทับถม หรือสูญหายไป หลายแห่งมีการก่อสร้างทับหลายซับ หลายซ้อน จนเราไม่อาจรู้ได้แน่ว่า วัตถุโบราณที่อ้าง ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นของแท้ หรือของเทียมกันแน่


ปัจจุบันมีสถานศักดิ์สิทธิ์มากมาย หลายร้อยแห่ง ที่อ้างว่าเป็นที่ประดิษฐานของชิ้นส่วน ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งทำเทียม แม้กระทั่งชิ้นส่วนไม้กางเขนและแผ่น จารึกที่เก็บรักษาไว้ในโบสถ์แห่งซานตาโกรเซ, กรุงโรม เราจะเชื่อแน่ได้หรือไม่ว่าเป็นของจริง เพราะถูกเก็บรักษาไว้อย่างเข้มงวด กล่าวคือในช่วงเวลา 600 ปีหลังนี้ ชิ้นส่วนแผ่นไม้โบราณที่มี อักษรเลือนรางนี้ ถูกนำออกจากกล่องเพียงแค่ 4 ครั้ง โดยทางวาติกันได้ปฏิเสธเด็ดขาด ไม่ยอมให้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทดสอบรังสีคาร์บอนเพื่อหาอายุที่แท้จริงของเนื้อไม้

ปล่อยให้เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสต่อไปนานๆ ไม่ดีกว่าหรือ เพราะทุกวันนี้เราก็หาที่พึ่งพิง ทางใจกันได้ยากเย็นอยู่แล้วนี่นา

Credit: นสพ.ไทยรัฐ และhttp://www.artsmen.net
30 มี.ค. 53 เวลา 23:25 3,189 14 1,214
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...