ว่านค้างคาวดำ ฤาษีนางครวญ ยาบำรุงกำลังของฤาษี
ค้างคาวดำ ฤาษีนางครวญ ยาบำรุงกำลังของฤาษี
ผักลึกลับที่น่าหลงไหล
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเจ้าพืชใบใหญ่ยาวคล้ายพืชตระกูลว่านชนิดนี้เป็นผัก แม้แต่ผู้เขียนเองที่เคยท่องป่าที่ราบสูงมาหลายปีดีดักก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้เอง เนื่องจากผักสมุนไพรชนิดนี้มักจะขึ้นในป่าดงดิบที่มีความชุ่มชื้นสูง เคยเห็นในตลาดสวนจตุจักรอยู่บ้างคิดว่าเป็นว่านทั่วไป แค่สะดุดใจอยู่ที่ความแปลกของดอก
เมื่อกลางเดือนกันยายน ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเดินป่าบาลา ฮาลา ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาส ใกล้ๆ กับชายแดนมาเลเซีย ป่าที่นั่นสมบูรณ์และสวยงามมาก ที่ประทับใจมากที่สุดคือไปเห็นเจ้าต้นฤาษีนางครวญหรือค้างคาวดำออกดอกกำลังบาน รูปทรงก็ไม่เหมือนใคร สีสันก็แสนจะประทับใจ คือมีสีม่วงเข้ม ที่บ้านผู้เขียนก็มีเจ้าฤาษีนางครวญนี้อยู่ แต่ไม่สวยงามสมบูรณ์เหมือนอยู่ที่นี่ ชื่อ “ฤาษีนางครวญ” หรือบางทีก็จะเรียก “นางครวญ” เฉยๆ แฝงนัยของการเป็นยาบำรุงกำลังทางเพศ สอบถามจาก ดร.ชวลิต นิยมธรรม ท่านก็หัวเราะหึๆ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ขนาดเป็นฤาษีนางยังครวญเลย”
หลังจากนั้นไม่นานมีโอกาสไปร่วมพูดคุยกับกลุ่มหมอยาเมืองเลย ระหว่างอาหารมื้อกลางวันเห็นพ่อหมอหยิบผักจากจานมาเคี้ยวตุ้ยๆ เจ้าผักที่ว่าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พอมาดูใกล้ๆ จึงพบว่าคือดอกอันสวยแปลกของเจ้าค้างคาวดำนั่นเอง ส่วนในจานที่วางอยู่หนึ่งในนั้นยังมีใบอ่อนของค้างคาวดำซึ่งยาวกว่าผักชนิดอื่นๆ ที่เมืองเลยเขาเรียกค้างคาวดำว่า “โพนเม่น” พ่อหมอบอกว่าใบอ่อน และดอกของโพนเม่นกินกับลาบกับแจ่วอร่อยนัก
เมื่อมีโอกาสไปเดินป่ากับหมอยาไทยใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่นี่เขาก็กินค้างคาวดำเช่นกัน โดยกินทั้งดอกและใบอ่อนแกล้มลาบ ส่วนใบใช้ทำใบตอง ค้างคาวดำในหมู่คนไทยใหญ่จึงถูกเรียกว่า “ตองจิงดำ” นอกจากจะเป็นผักเป็นยาของคนไทยใหญ่แล้ว ตองจิงดำยังเป็นว่านอาถรรพ์ มีผีประจำต้นที่แรง ถ้าจะเอามาปลูกไว้ที่บ้านห้ามปลูกหน้าบ้าน ต้องปลูกไว้ท้ายบ้าน มิเช่นนั้นจะเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดได้บ่อยๆ ตองจิงดำถือว่าเป็นผักในวิถีชีวิตของคนไทยใหญ่ เนื่องจากในตลาดเช้าข้างทาง ที่ตำบลท่าตอน พบผักสมุนไพรชนิดนี้วางเรียงราย มากมาย ขายพร้อมผักอื่นๆ
ค้างคาวดำ ฤาษีนางครวญ ยาบำรุงกำลังของฤาษี
ดอกของค้างคาวดำมีลักษณะคล้ายๆ กับค้างคาวจริงๆ เวลาที่ชาวบ้านบอกว่าต้นนี้เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย ทำให้อดนึกถึงมนุษย์ค้างคาวไม่ได้ มนุษย์ค้างคาว Bat Man แต่นี่เป็น Bat Flower ที่จะคอยปราบเหล่าร้ายและโรคภัยไข้เจ็บ การจะปราบโรคภัยไข้เจ็บได้พระเอกของเราต้องแข็งแรงก่อน
ถ้าเป็นชาวมุสลิมจะใช้เหง้าต้มน้ำกิน ส่วนชาวไทยพุทธในสามจังหวัดภาคใต้ คนไทยใหญ่ นิยมดองเหล้ากิน เพื่อบำรุงกำลังทางเพศ บำรุงเลือด ส่วนหมอยาไทยภาคกลางซึ่งเรียกค้างคาวดำว่า “เนระพูสีไทย” ใช้เป็นยาบำรุงกำลังทางเพศ เป็นยาอายุวัฒนะเช่นกัน
ค้างคาวดำ ยาแก้ซางเด็ก
นอกจะบำรุงร่างกายในผู้ใหญ่แล้ว ค้างคาวดำยังมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายให้กับเด็กอีกด้วย โดยหมอยาเมืองเลยจะใช้ค้างคาวดำในการแก้ซางในเด็ก โดยใช้หัวของค้างคาวดำต้ม หรือแช่น้ำมวกส้มให้เด็กกิน เด็กที่ผอมจ่อยเหลือง ปากเป็นแผล จะแข็งแรงขึ้น
ค้างคาวดำ ยาลดความดัน
หมอพื้นบ้านเมืองเลยนิยมใช้โพนเม่นในการทำเป็นยารักษาความดันโลหิตสูง แก้ลมหน้ามืดตาลายที่เกิดจากความดันโลหิตสูง แก้กษัย ท้องแข็ง โดยเอาหัวมาฝานตากให้แห้ง แล้วมาแช่น้ำร้อนกิน หรือฝานแล้วเคี้ยวกินเลย ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในแถบยูนานก็ใช้ค้างคาวดำในการลดความดันเช่นกัน ปัจจุบันพบว่าสารซาโปนินในค้างคาวดำมีฤทธิ์ลดความดันได้
ค้างคาวดำ ยาแก้เจ็บท้อง แก้โรคกระเพาะ
ท้องอืด อาหารเป็นพิษ
คนไทยมุสลิม นิยมใช้ค้างคาวดำในการการรักษาอาการปวดท้อง โดยนำใบมาต้มน้ำดื่มแก้เจ็บในท้อง “อูลูแร” แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ (ตำรับของแมะ จังหวัดยะลา) ส่วนหมอยาไทยใหญ่ หมอยาเมืองเลยต่างนิยมใช้ค้างคาวดำในการรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง โรคกระเพาะ อาหารเป็นพิษ โดยเอาหัวมาดองเหล้าหรือต้มกินเช่นกัน
ค้างคาวดำ…
หลากหลายประสบการณ์การใช้ในคนพื้นบ้าน
นอกจากสรรพคุณเป็นยาข้างต้นแล้ว ชาวบ้านในแต่พื้นที่ต่างมีประสบการณ์การใช้ต้นค้างคาวดำที่แตกต่างกัน อาทิเช่น คนไทยมุสลิมใช้ทั้งต้นต้มกินแก้เบาหวาน รักษาอาการคนที่เป็นลมไม่รู้สึกตัว คนไทยใหญ่ใช้หัวต้มกินแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต โดยใช้ใบมาอังไฟแล้วนวดหรือชงกินกับน้ำร้อนแก้ร้อนใน แก้ไข้ และหมอยาเมืองเลยใช้ในตำรับยาแก้นิ่วโดยต้มรวมกับหญ้าถอดปล้องและหญ้าหนวดแมว เป็นต้น
ค้างคาวดำเป็นผัก
ค้างคาวดำเป็นผักกินสด โดยจะกินส่วนที่เป็นดอกและใบอ่อน เป็นผักกินแกล้มลาบหรือกินกับน้ำพริก แจ่ว เป็นต้น ใบของค้างคาวดำใช้เป็นใบตองห่อของต่างๆ ได้
“ ค้างคาวดำเป็นผักสมุนไพรตัวหนึ่งที่ควรแก่การบันทึก เพื่อที่จะบอกกับคนรุ่นหลังว่า พืชสมุนไพรสวยแปลกตัวนี้กินได้ เป็นยาได้ เป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ ควรค่าแก่การดูแลรักษาไว้ให้อยู่คู่แผ่นดินไทย เป็นมรดกตกไปสู่ลูกหลานที่บ่งบอกว่าประเทศไทยร่ำรวยความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมเพียงใด ”
ดั้งนั้นไม่ต้องอายที่จะมีไว้ประดับบ้านซักต้นครับ
คุณเป็นคนมีน้ำใจ ขอบคุณที่กด Like.ให้ครับ
ที่มา: http://nulaw-08.bloggang.com