บางครั้งก็เกิดเรื่องแปลกๆ กับร่างกายของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติจนเราไม่สงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่วิทยาศาสตร์มีคำตอบให้
แสงวิบวับที่บางครั้งปรากฎขึ้นในดวงตา
ที่มาภาพ winesurprises
ดวงตาของเราเป็นอวัยวะที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงวิวัฒนาการกว่าล้านปีมานี้ สิ่งที่แปลกคือ ทำไมมันจึงวิวัฒนาการให้เกิดเหตุการณ์ที่มีแสงประกายเหมือนหิมะปรากฎขึ้นบนจอภาพของเรา แสงพวกนี้มักจะอยู่ๆ ก็ปรากฎขึ้นมาเอง และเมื่อเราพยายามจะเพ่งมอง มันก็จะหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในอีกกรณีหนึ่งคือ อาการที่เรียกว่า “เห็นดาว” หรือเห็นแสงเมื่อร่างกายของเราเกิดตึงเครียดมากเกินไป เช่น เวลาจามอย่างแรง หรือออกแรงมากเกินไป เหมือนร่างกายพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อขับความตึงเครียดนั้นออกไป
ที่มาภาพ wikipedia
เหตุการณ์ทั้งสองแบบนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ แต่มีคำอธิบายที่แปลกประหลาดอยู่
สาเหตุของ “แสงวาบ” นี้ เกิดจากของเหลวคล้ายเจลลี่ที่เรียกว่า “Vitreous fluid” ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามช่วงอายุของเรา ซึ่งเมื่อนานๆ ไป เจลลี่นี้จะค่อยๆ หดตัว และจากพื้นผิวแบบเรียบจะกลายเป็นเส้นเหนียวๆ นอกจากนั้น วุ้นในตาจะเริ่มกลายเป็นน้ำ ทำให้เส้นใย (Fiber) ในตาจับตัวกันกลายเป็นก้อน ซึ่งเส้นใยเหล่านี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถมองเห็นได้ในจอภาพของเรา แต่หลังจากนั้นมันก็จะค่อยๆไหลลงไปยังด้านล่างของลูกตา จนกระทั่งเรามองไม่เห็นมันอีก ว่าง่ายๆ ก็คือ ก้อนพวกนี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
ส่วนสำหรับแสงวิบวับที่เกิดขึ้นในตาของเรา มีชื่อเรียกว่า “Phosphenes” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในจอประสาทตา (Retina) ของเราถูกรบกวน (เช่น การขยี้ตา) ทำให้เกิดการตกกระทบของแสงที่ผิดพลาด ที่แปลกคือ นักวิทยาศาสตร์พบว่า สามารถทำให้เกิดอาการนี้ได้โดยการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านสมองส่วน Visual cortex ได้อีกด้วย (ใครสงสัยเชิญลองเองได้)
แต่เดี๋ยวก่อน เรายังมีเรื่องแปลกกว่านั้น ถ้าคุณออกไปข้างนอกแล้วจ้องขึ้นไปยังท้องฟ้า (ที่สว่างพอ) คุณจะเห็นจุดสีขาวเต้นไปมารอบๆ ดวงตาของคุณ ใครไม่เคยก็ลองทำดูซะ เพราะสิ่งที่คุณจะได้เห็นนั้นคือเซลล์เม็ดเลือดขาวของคุณที่พุ่งจากเส้นเลือดขึ้นไปยังดวงตานั่นเอง แสงสีฟ้าทำให้ตาของคุณสามารถมองเส้นเลือดและเซลล์อื่นๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์
จี๊ดขึ้นสมองเมื่อกินของเย็น
ที่มาภาพ fanpop
ใครที่ชอบกินของเย็นๆ อย่างไอศกรีมต้องเคยเจอกับอาการเย็นจี๊ดขึ้นสมองกันสีกครั้ง อาการก็ตามชื่อเลย คือ ขณะที่คุณกำลังกินของเย็นๆ อยู่ ก็เกิดอาการปวดหัวอย่างหนักที่ทำให้หน้าบิดเบี้ยวดูไม่ได้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพราะของที่กินทำให้อุณหภูมิในสมองต่ำลงอย่างที่เราเข้าใจกัน (ไม่อย่างนั้นถ้ากินของเย็นเยอะเกินไปคงทำให้เราเกิดอาการสมองตายได้)
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยในประเทศไอร์แลนด์และกรมทหารผ่านศึกของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รวมตัวกันเพื่อค้นหาว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ และพวกเขาก็ได้พบว่า สามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวแบบนี้ได้เมื่อวางก้อนน้ำแข็งไว้ในปากของผู้ถูกทดลอง แล้วดันให้เข้าไปติดบนเพดานปาก ซึ่งเมื่อทำแบบนี้แล้วจะทำให้ตัวควบคุมอุณหภูมิในสมองโดนรบกวน (และอีกครั้ง ลองทดลองกันเองโด้)
ที่มาภาพ kristiangoddard
โดยปกติสมองต้องการจะรักษาอุณหภูมิไว้ให้คงที่ ดังนั้น เมื่อคุณกินของเย็น เพดานปากของคุณจะเย็นลง แล้วสมองจะเกิดอาการ “สะดุ้ง” เพราะมันตีความไปว่าร่างกายของคุณกำลังติดอยู่ที่หนาวจัดซักแห่ง (เช่น สมองจะคิดว่าคุณอยู้ในที่ๆ หนาวมากๆ ขนาดเพดานปากยังเย็นเจี๊ยบได้ขนาดนี้) สมองจึงทำการขยายหลอดเลือดแดงเพื่อสูบฉีดเลือดไปยังบริเวณนั้นเพื่อให้อุ่นขึ้น แต่แทนที่จะทำให้อุ่นขึ้นตามที่สมองเข้าใจ กลับทำให้คุณปวดหัวสุดๆ แทน
โดยส่วนมากแล้วเราจะตอบสนองต่ออาการปวดนี้โดยการเอามือจับหัวตัวเองไว้ ให้เหมือนกันว่าถ้าเราทำให้กระโหลกของเราอุ่นขึ้นอาการปวดจี๊ดนี้จะหายไป ซึ่งจริงๆ แล้ววิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล วิธีเดียวที่จะจัดการกับอาการที่ได้ ก็คือ การพยายามทำให้เพดานปากอุ่นขึ้นให้เร็วที่สุดเพื่อลดการขยายตัวของหลอดเลือด อย่างการกดลิ้นไว้บนเพดานปากก็ช่วยได้
หลังจากแปรงฟัน น้ำส้ม (หรืออาหารอื่นๆ) ที่กินจะมีรสชาติแปลกๆ
ที่มาภาพ keystoneind
ถ้าใครไม่เคยเจอ ลองไปทำซะเดี๋ยวนี้ แปรงฟันโดยใช้ยาสีฟัน จากนั้นไปหาน้ำส้มมาดื่ม คุณจะพบว่าน้ำส้มหวานอร่อยที่กินประจำกลายเป็นของเหลวสักอย่างที่รสชาติแย่เหมือนกับสารเคมี
จริงๆ แล้วสำหรับใครบางคน เหตุการณ์แปลกประหลาดนี้เป็นปรากฎการณ์แรกที่แนะนำให้เรารู้จักกับวิชาเคมี สาเหตุที่น้ำส้มหรืออาหารอื่นมีรสชาติแย่หลังจากแปรงฟันเนื่องมาจากสารเคมีที่เรียกว่า “Sodium Lauryl Sulfate (SLS)” สารนี้ถูกใส่ไว้ในสินค้าที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดเพื่อให้เกิดฟอง เนื่องจากผู้ผลิตรู้ดีว่า เรารู้สึกสะอาดเมื่อเกิดฟองทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสารเกิดฟองนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น
สาร SLS นี้มีผลข้างเคียงอย่างหนึ่ง นั่นคือ มันไปทำให้เกิดความเสียหายต่อปุ่มรับรสบนลิ้น มันไปทำให้ตัวรับความหวานเกิดอาการชา และไปกัดเซาะเกราะไขมันที่ปกป้องทำให้เกิดรสขมในช่วงระยะเวลาครู่หนึ่ง
ที่มาภาพ pearlywhitedentition
ดังนั้น ลิ้นของคุณจึงถูกโจมตีทำให้เกิดความผิดเพี้ยนทางรสชาติ ซึ่งผลที่อาจจะเกิดมากน้อยต่างกันไปตามอาหารหรือเครื่องดื่มแต่ละประเภท ซึ่งจะสังเกตได้ว่า อาหารที่ปกติแล้วจะมีรสหวานแต่มีความเป็นกรดสูงจะทำให้เกิดอาการขมในลิ้น (ในขณะที่อาหารอื่นๆ อาจจะแค่ไร้รสชาติไปเสียเฉยๆ) ถ้าคุณไม่ชอบให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทางแก้อย่างหนึ่งก็คือการใช้ยาสีฟันที่ไม่มีสาร SLS
กินหน่อไม้ฝรั่งทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นแปลกๆ
ที่มาภาพ worldcommunitycookbook
สำหรับใครบางคนที่ไม่ชอบกินหน่อไม้ฝรั่งอาจไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่สำหรับหลายๆ คน การกินหน่อไม้ฝรั่งทำให้ปัสสาวะของคุณมีกลิ่นเหมือนส่งตรงมาจากนรก แม้แต่เบนจามิน แฟรงคลิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ยังเขียนไว้ในจดหมายกล่าวถึงปัสสาวะที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์เมื่อกินอาหารที่ทำจากหน่อไม้ฝรั่ง
สาเหตุเกิดขึ้นจากอะไร? หน่อไม้ฝรั่งซึ่งปกติก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นไปทำให้ร่างการเราผลิตสารเคมีอะไรแปลกๆ อย่างนั้นหรือ? แล้วถ้าเป็นแบบนี้ทำไมถึงไม่มีใครห้ามเรากินหน่อไม้ฝรั่งตั้งแต่แรก?
ที่มาภาพ love2btanned
สาเหตุของเหตุการณ์นี้ เป็นผลจากสิ่งที่เรียกว่า “Organosulfur” (สารประกอบอินทรีย์ที่มีส่วนผสมของซัลเฟอร์) ถึงแม้ตัวหน่อไม้ฝรั่งเองจะไม่ได้มีกลิ่นแบบนั้น มันก็มีกรดอย่างหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา กลิ่นเหม็นที่เกิดขึ้นนี้ก็เกิดขึ่นเมื่อสารประกอบในหน่อไม้ฝรั่งแตกตัว ได้เป็นซัลเฟอร์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นนั่นเอง
ที่มา Cracked
เรียบเรียงภาษาไทย http://www.everyday-readers.com