คดีสะเทือนขวัญแห่งราชสำนัก ปลงพระชนม์มเหสี ร.6

 

 

 

คดีสะเทือนขวัญแห่งราชสำนัก ปลงพระชนม์มเหสี ร.6

 

พระนางเธอลักษมีลาวัณ (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2442 – 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504) มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมหลวงตาด วรวรรณ (สกุลเดิม มนตรีกุล) ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระขนิษฐาต่างชนนีของอดีตพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี

 

 

 

ในภาพคือ พระรูปพระนางเธอพระมเหสีในรัชกาลที่6 และผู้ต้องหานายแสง นายวิวัช อดีตผู้รับใช้ภายในวัง

หมายเหตุ ภาพอาคารในรูปนั้นไม่ใช่ตำหนัก

ลักษมีวิลาศของพระองค์นะครับ แต่เป็นอาคารตรงข้าม ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ

 

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2504 เวลา 15:30น. พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงได้รับโทรศัพท์แจ้งจากนางสาวแน่งน้อย แย้มศิริ นิสิตบัญชีปี3จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยถวายงานเป็นข้าในพระนางเธอลักษมีลาวัณ ในพระตำหนักลักษมีวิลาศ ว่าน่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นในพระตำหนัก เนื่องจากเธอได้ไปกดออดเรียก และโทรศัพท์เข้าไปแต่ไม่มีผู้รับสาย

เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงทราบจึงเสด็จโดยรถยนต์ส่วนพระองค์มายังพระตำหนักลักษมีวิลาศ สี่แยกพญาไทโดยด่วน ปรากฏว่าบนพระตำหนักเงียบวังเวงปราศจากผู้คนอาศัยอยู่ ด้วยความร้อนพระทัยจึงได้เสด็จขึ้นไปชั้นบนพระตำหนักเพื่อตามหาพระนางเธอฯ พระขนิษฐา(น้องสาว) เสด็จในกรมฯ ทรงพระวิตกว่าพระนางเธอฯ จะได้รับอันตราย จึงทรงตรวจค้นห้องพระบรรทม พบเครื่องฉลองพระองค์และพระราชทรัพย์ถูกรื้อกระจาย แล้วจึงเสด็จลงมาตรวจบริเวณพระตำหนักอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมเปล่งพระสุรเสียงเรียกพระนางเธอฯ ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับอย่างใด

เสด็จในกรมฯ ไม่ทรงพบใครอยู่ภายในพระำหนักแต่กลับได้กลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นเน่า จึงเสด็จดำเนินตามกลิ่นไปถึงโรงรถบริเวณหลังพระตำหนัก เมื่อเสด็จถึง ถึงกับทรงพระตะลึง ทรงพบพระศพของพระนางเธอ ในสภาพเน่าอืด แล้วจึงทรงเร่งมาแจ้ง นายร้อยเวรสถานีตำรวจพญาไท เพื่อให้ชันสูตรพระศพโดยด่วน 

เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชำนาญได้เริ่มลงมือชันสูตรพระศพซึ่งเริ่มส่งกลิ่น พบว่าที่พระวรกายบริเวณพระอุระพบบาดแผลฉกรรจ์คล้ายถูกแทงอย่างโหดเหี้ยม 4แผล ที่พระศออีกแผลหนึ่ง ที่พระเศียรด้านหลังนั้นถูกตีจนน่วมมีพระโลหิตไหล สิ้นพระชนม์บนพื้นคอนกรีต เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าสิ้นพระชนม์มาแล้วไม่ต่ำกว่า ๓ วัน แล้วจึงส่งพระศพไปยังแผนกนิติเวช เพื่อชันสูตรอีกชั้นหนึ่ง

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจหาร่องรอย ภายในพระตำหนักอย่างละเอียด พบกรรไกรเปื้อนครอบโลหิตตกอยู่กลางห้องพระบรรทม เงินส่วนพระราชสมบัติหายไปโดยไม่ทิ้งไว้แม้จนบาทเดียว ที่ตู้เซฟเก็บเครื่องฉลองพระองค์ ที่เก็บเครื่องประดับต้นตระกูลแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ มูลค่านับล้านบาท ยังคงอยู่ในสภาพปกติ สันนิษฐานว่าคนร้ายไม่อาจหากุญแจไขได้สำเร็จเพราะต้องรีบเตลิดหนีก่อนที่จะมีคนมารู้เห็นเข้า 

เกี่ยวกับพระศพของพระนางเธอที่พบนั้น เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าการที่พบพระศพอยู่บริเวณโรงรถติดกับห้องคนรับใช้นั้นเป็นการพรางตา คาดว่ากลุ่มฆาตกรน่าจะสังหารตั้งแต่บนห้องบรรทมชั้นบน เพราะพบคราบพระโลหิตติดอยู่ เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วจึงช่วยกันลากพระศพมาทิ้งไว้ที่โรงรถก่อนที่จะหลบหนีไป 

ภายหลังผู้ต้องหาถูกจับกุมได้โดยได้รับการแจ้งจากร้านทองที่รับจำนำของมีค่า ว่ามีผู้ต้องสงสัยนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี จุลจอมเกล้าและตราอื่นๆ จึงสามารถตามจับกุมได้

คุณเป็นคนมีน้ำใจ ขอบคุณที่กด Like.ให้ครับ

Credit: คลังประวัติศาสตร์ไทย
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...