นักวิจัยพบต้นกำเนิดโรคซาร์สมาจากค้างคาว (บีบีซี)
นักวิจัยเจอหลักฐานหนักแน่นชี้ไวรัสก่อ “โรคซาร์ส” มีกำเนิดมาจากค้างคาวจีน โดยพบไวรัสโคโรนา 2 ชนิด ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสก่อโรคในคน
นักวิทยาศาสตร์พบไวรัสโคโรนา 2 ชนิดในค้างคาวมงกุฏจีน (Chinese horseshoe bat) ซึ่งไวรัสดังกลาวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสก่อโรคซาร์ส (Sars) ในคน และไวรัสติดเชื้อในเซลล์มนุษย์ด้วยวิธีเดียวกัน คือ จับกับตัวรับ (receptor) ที่เรียกว่า ACE2
การค้นพบดังกล่าว บ่งชี้ว่าไวรัสโคโรนาดังกล่าวสามารถย้ายจากค้างคาวมาก่อโรคในคนได้โดยตรง มากกว่าจะอาศัยตัวอย่างชะมดเป็นพาหะนำโรคเหมือนที่เข้าใจก่อนหน้านี้ ซึ่งบีบีซีนิวส์รายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตีพิมพ์ผลงานลงวารสารเนเจอร์ (Nature)
อ้างตาม แกรี คราเมอริ (Gary Crameri) นักไวรัสวิทยาจากองค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ (CSIRO) ออสเตรเลีย และผู้เขียนรายงานในเนเจอร์กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นกุญแจไขสู่การพิจารณาเกี่ยวกับค้างคาวในฐานะจุดเริ่มต้นให้เกิดการระบาดของซาร์ส
งานวิจัยเผยให้เห็นว่าไวรัสโคโรนาที่คล้ายไวรัสซาร์สที่ติดต่อในคนนี้มีพันธุกรรมคล้ายคลึงกันถึง 95% และข้อมูลดังกล่าวยังนำไปใช้เพื่อพัฒนาวัคซีนตัวใหม่และยาใหม่ๆ สำหรับต่อสู้กับโรคได้ และเป็นการสาธิตถึงไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ที่คุกคามมนุษย์ ทั้งนี้ โรคซาร์สระบาดระหว่างเดือน พ.ย.2002 - ก.ค.2003 ซึ่งมีผู้ป่วยจากโรคนี้ทั่วโลกมากกว่า 8,000 คน และมากกว่า 770 คน เสียชีวิต
ไวรัสใช้ช่องทางเดียวกันในการจู่โจมเซลล์มนุษย์ (บีบีซี)
ด้าน ดร.ปีเตอร์ แดสแซก (Dr.Peter Daszak) ประธานสมาพันธ์อีโคเฮลธ์ (EcoHealth Alliance) และหนึ่งในผู้เขียนรายงานลงวารเนเจอร์ กล่าวว่า ไวรัสโคโรนานั้นมีวิวัฒนาการที่รวดเร็วมาก โดยชนิดที่เพิ่งได้เห็นนี้วิวัฒนาการจากสปีชีส์หนึ่งไปเป็นอีกสปีชีส์ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องไม่ปกตินักสำหรับไวรัส และคำถามสำคัญคือทำพวกมันถึงอุบัติขึ้นมาตอนนี้
รายงานบีบีซีนิวส์ยังฉายภาพไปถึงตลาดค้าสัตว์ป่าของจีนที่ทั้งสัตว์อื่นๆ และมนุษย์ต่างเข้าไปสัมผัสกับค้างคาวอย่างใกล้ชิด สร้างสภาพแวดล้อมราวสวรรค์สำหรับไวรัสที่จะกระโดดจากสปีชีส์หนึ่งไปยังอีกสปีชีส์หนึ่ง หรือแม้แต่การล่าสัตว์หรืออาศัยอยู่ใกล้ถ้ำค้างคาว ก็เป็นความเสี่ยงใหญ่หลวงที่จะติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ที่๔กขับถ่ายมาพร้อมมูลของค้างคาว
การทำความเข้าใจจ่อกำเนิดของโรคติดเชื้ออย่างโรคซาร์สนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์เข้าไปรับมือกับไวรัสก่อโรคในอนาคตก่อนที่มันจะอุบัติขึ้น ผ่านความรู้ที่ว่าที่ใดคือแหล่งเพาะเชื้อ และไวรัสในตระกูลใกล้ชิดใดบ้างที่มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องมากที่สุด แล้วจัดการป้องกันการติดเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ
ดร.แดสแซกกล่วว่าการค้นหาไวรัสก่อโรคในสัตว์เลี้ยงด้วยนมทั้งหมดต้องใช้เงินราว 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญที่เราจะต้องทำ เพราะเราสามารถผลิตวัคซีน และเตรียมพร้อมชุดทดสอบเพื่อหาค้นหาระยะแรกของการอุบัติขึ้นของเชื้อก่อโรค แล้วหาทางหยุดไวรัสเหล่านั้น
ที่มา: http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000136056